กัณฐกวิมาน กัณฐกเทพบุตรรู้แจ้งอริยสัจธรรม


    สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ที่กำลังเจริญสติปัฏฐาน แต่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านผู้ฟังคิดว่ามีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์ดิรัจฉานได้ไหม

    ขอยกตัวอย่างบุคคลท่านหนึ่งในพระไตรปิฎกที่แสดงให้เห็นว่า ท่านต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมบารมีที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่เมื่อยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระ อริยเจ้าก็เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อจุติจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้นแล้ว จึงได้ตรัสรู้อริยสัจธรรมเป็นพระอริยสาวก

    ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ กัณฐกวิมาน มีข้อความว่า

    ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า เทพบุตรนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง และมีวิมานที่น่ารื่นรมย์ใจ เพราะผลของทาน หรือผลของศีล หรือผลของอัญชลีกรรม (คือ ความอ่อนน้อม การแสดงความนอบน้อม)

    เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า

    ข้าพเจ้าเป็นพระยาม้าชื่อ กัณฐกะ เป็นสหชาติของพระโอรสของพระเจ้า สุทโธทนะ ผู้เป็นใหญ่กว่าเจ้าศากยะทั้งหลายในกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระราชโอรสนั้นเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ในมัชฌิมยามเพื่อความตรัสรู้ เอาฝ่าพระหัตถ์อันอ่อน เล็บแดงงามสุกใส ตบอกข้าพเจ้าเบาๆ แล้วตรัสกับข้าพระเจ้าว่า

    จงพาฉันไปเถิดสหาย ฉันได้บรรลุพระโพธิญาณอันอุดมแล้ว จักยังโลกให้ข้ามพ้นจากห้วงน้ำใหญ่ คือ สังสาระ

    เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้มีความร่าเริงยินดี เบิกบาน บันเทิงใจเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้รับคำของท่านโดยความเคารพ ครั้นข้าพเจ้ารู้ว่า พระมหาบุรุษ ผู้เป็นพระโอรสแห่งศากยราชผู้เรืองยศประทับนั่งบนหลังของข้าพเจ้าแล้ว มีจิตเบิกบาน บันเทิงใจ นำพระมหาบุรุษออกไปจากพระนครไปจนถึงแว่นแคว้นของกษัตริย์เหล่าอื่น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระมหาบุรุษมิได้มีความอาลัย ละทิ้งข้าพเจ้ากับฉันนะอำมาตย์ไว้ ทรงหลีกไป ข้าพเจ้าได้เลียพระบาททั้งสองของพระองค์ ซึ่งมีเล็บอันแดงด้วยลิ้น ร้องไห้ แลดูพระลูกเจ้าผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่ เสด็จไปอยู่

    ข้าพเจ้าป่วยอย่างหนัก เพราะมิได้เห็นพระมหาบุรุษศากโยรส ผู้มีศิริพระองค์นั้น ข้าพเจ้าได้ตายลงอย่างรวดเร็ว ด้วยอานุภาพแห่งปีติ และโสมนัสนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มาอยู่ยังวิมานนี้ อันประกอบด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ ดุจท้าวสักกะเทวราชผู้เป็นใหญ่ในเทพบุรี ฉะนั้น

    ความยินดี และความร่าเริง ได้เกิดมีแก่ข้าพเจ้า เพราะได้ฟังเสียงว่า เพื่อพระโพธิญาณก่อนกว่าสิ่งอื่นๆ ฉันจะบรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะ เพราะกุศลกรรมนั้น นั่นแล

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าพระคุณเจ้าพึงไปในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ศาสดาไซร้ ขอพระคุณเจ้าจงทูลถึงการถวายบังคมด้วยเศียรเกล้ากับพระองค์ ตามคำของข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าก็จักไปเฝ้าพระชินเจ้า ผู้หาบุรุษอื่นเปรียบมิได้ การได้เห็นพระโลกนาถเจ้าเช่นนั้น หาได้ยาก

    พระสังคีติกาจารย์ได้รจนาคาถาไว้ ๒ คาถาความว่า

    ก็กัณฐกเทพบุตรนั้น เป็นผู้กตัญญูกตเวที ได้เข้าเฝ้าพระศาสดา ฟังพระดำรัสของพระศาสดาผู้มีพระจักษุแล้ว ได้บรรลุธรรมจักษุ กล่าวคือ โสตาปัตติผล ได้ชำระทิฏฐิ และวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสของตนให้บริสุทธิ์ ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระศาสดา แล้วอันตรธานไปในที่นั้นนั่นเอง

    ในชาติที่เป็นม้ากัณฐกะ จะเจริญสติปัฏฐานอบรมวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นได้ไหม ไม่ได้ ก็ต้องเคยเจริญอบรมมาก่อน แต่เมื่อยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็มีกรรมที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดในกำเนิดดิรัจฉานเป็นม้ากัณฐกะ เมื่อจุติจากชาตินั้นแล้วด้วยความปีติโสมนัสในพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับตน ก็ทำให้เกิดเป็นเทพบุตร และเมื่อได้มาเฝ้าฟังธรรม เป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่าที่จะบรรลุอริยสัจธรรม ต้องเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานแม้ในกำเนิดของเทพ เมื่อเป็นกัณฐกเทวบุตรนั้นก็ต้องเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน เมื่อได้ฟังพระธรรมจึงจะสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

    ท่านผู้ฟังถามว่า เวลาที่เกิดความทุกขเวทนา สติเกิดได้ไหม ถ้าไม่เคยเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติเลย สติก็เกิดไม่ได้ แต่ทำไมบางท่านสามารถที่จะแทงตลอดบรรลุอริยสัจธรรมเวลาที่ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าได้ ก็เพราะเหตุว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้รับทุกขเวทนาแรงกล้า สติที่ได้อบรมสะสมอย่างดีแล้ว จึงสามารถที่จะเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้นเลย แต่ถ้าความสมบูรณ์ของปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นพระอริยเจ้า ก็ไม่แน่ว่าภพต่อไปจะเป็นอะไร

    แต่ควรที่จะได้ทราบถึงความวิจิตรของจิตว่า ถึงแม้ว่าจะมีการสะสมทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่เป็นเหตุให้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิบ้าง หรือในอบายภูมิบ้างก็ตาม แม้ขณะนี้ท่านอยู่ในกามสุคติภูมิ คือ ในมนุษย์ภูมิก็จริง แต่ตัวท่านจะเป็นผู้ที่ทราบได้ดีว่า แม้ว่าจะไม่ได้ปฏิสนธิในอบายภูมิในปัจจุบันชาตินี้ แต่เศษของอกุศลกรรมที่ได้สะสมไว้ ติดตามมาปรากฏในภพชาตินี้บ้างหรือเปล่า เพราะเหตุว่าการให้ผลที่กรรมจะเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากขึ้นนั้น เป็นเพราะกัมมปัจจัยหนึ่ง และ อุปนิสสยปัจจัยหนึ่ง

    กัมมปัจจัย คือ กรรมที่ได้กระทำสำเร็จแล้วประกอบกับ อุปนิสสยปัจจัย การสะสมที่เป็นกำลังที่ทำให้กรรมนั้นให้ผล แม้ว่าจะให้ผลทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิแล้ว แต่เมื่อยังไม่หมดผลของกรรม ยังมีเศษ มีเชื้อ ก็เป็นอุปนิสสยปัจจัยที่จะทำให้ปรากฏผลเกิดขึ้นแม้ในกามสุคติภูมิ


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 270


    หมายเลข 13181
    8 ต.ค. 2567