ศีลที่ละเอียดขึ้น ก็จะเป็นศีลวิสุทธิ
สำหรับการไม่ล่วง คือ การวิรัติ งดเว้นเมื่อเผชิญกับวัตถุที่จะให้กระทำทุจริตกรรม ในขณะที่สามารถวิรัติได้ เว้นได้ จะสังเกตได้ว่า จิตใจของท่านผ่องใสที่สามารถจะละกิเลส หรือไม่ล่วงทุจริตกรรมในขณะนั้น เมื่อระลึกถึงครั้งใด ก็ยังทำให้จิตใจ ผ่องใส โสมนัสในกำลังของกุศลที่ได้สะสมมา ซึ่งก็แล้วแต่ท่านจะเห็นความประพฤติทางกาย ทางวาจาใดที่ไม่เหมาะไม่ควร และงดเว้นได้t
แต่ถ้าสติไม่เกิด ไม่สังวร เกิดการล่วงเป็นทุจริต เป็นอกุศลกรรมไป เวลาที่ท่านระลึกขึ้นมา ท่านอาจจะเศร้าหมอง ไม่ควรเลยที่จะล่วงเป็นทุจริตไปแล้ว แต่ถ้าสามารถจะวิรัติได้ ท่านก็รู้ว่า เป็นเพราะการสะสมของกุศล เป็นเพราะสติมีกำลังที่สามารถจะเกิดขึ้น ทำให้ระลึกรู้ และวิรัติในสิ่งที่เป็นอกุศลนั้นได้
เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหมดซึ่งเป็นศีล ที่วิรัติทุจริต ไม่ทำให้จิตใจของผู้ที่ละเว้นทุจริตนั้นเดือดร้อนเลย แต่กลับจะทำให้เกิดความปราโมทย์ เกิดปีติ เกิดปัสสัทธิ โสมนัส ไม่หวั่นเกรงว่า บุคคลอื่นจะคิด จะกล่าว จะเข้าใจอย่างไร
ศีลที่เป็นปกติในชีวิตประจำวันนั้น ละเอียดขึ้น ขัดเกลายิ่งขึ้น จนกระทั่งเป็นศีลวิสุทธิ หมดจดจากกิเลส เป็นศีลที่เกิดขึ้นเป็นไปพร้อมกับสติ และปัญญา
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๘๙ มีข้อความว่า
ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงปาณาติบาต อทินนาทานกาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิด้วยการสังวร แม้การสังวรนั้นก็เป็นศีล
ข้อความต่อไปมีว่า
ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ .. ไม่ก้าวล่วงความพยาบาทด้วยความไม่พยาบาท ... ซึ่งก็เป็นไปด้วยกำลังของปฐมฌาน ตลอดไปจนกระทั่งถึง ไม่ก้าวล่วงกิเลสที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิด้วยโสดาปัตติมรรค ไม่ก้าวล่วงกิเลสหยาบๆ ด้วยสกทาคามิมรรค ไม่ก้าวล่วงกิเลสละเอียดด้วยอนาคามิมรรค ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค ฯ
ในขณะที่สติเกิดขึ้น สังวร ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ในขณะนั้น ไม่ก้าวล่วงกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ ไม่ก้าวล่วงความพยาบาทด้วยความไม่พยาบาท ไม่ก้าวล่วงกิเลสที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิด้วยโสดาปัตติมรรค และถ้าอบรมเจริญต่อไป ไม่ก้าวล่วงกิเลสหยาบๆ ด้วยสกทาคามิมรรค ไม่ก้าวล่วงกิเลสละเอียดด้วยอนาคามิมรรค และ ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ใคร่ที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท จึงควรอบรมเจริญกุศลทุกประการ
อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต สีหนาทวรรคที่ ๒ เวลามสูตร มีข้อความโดยย่อว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นท่าน อนาถบิณฑิกคฤหบดียากจนลง ให้ทานอันเศร้าหมอง เป็นปลายข้าว และน้ำข้าว ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงธรรมแก่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า
บุคคลให้ทานอันเศร้าหมอง หรือประณีตก็ตาม แต่ให้โดยเคารพ เชื่อกรรม และผลของกรรมให้ทาน อานิสงส์ก็มาก และทานที่ให้แก่ทักขิไณยยบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยความเห็นถูก ก็ย่อมมีผลมากขึ้นเป็นลำดับ ... จนกระทั่งถึง ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจาก จตุรทิศ การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ... .ตลอดไปจนถึง จากการดื่มน้ำเมา คือ สุรา และเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบทคือ งดเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
นี่เป็นข้อความโดยย่อจาก เวลามสูตร ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า การขัดเกลากิเลสนั้นย่อมละเอียดขึ้น ตั้งแต่การให้ทาน ซึ่งมีอานิสงส์ประณีตขึ้น ละเอียดขึ้นตามลำดับ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นทานที่ให้กับทักขิไณยยบุคคลผู้มีความเห็นถูก จิตใจที่เลื่อมใส ผ่องใสของผู้ให้ ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อกรรม และผลของกรรมให้ทาน มีความเห็นถูกเป็นต้นนั้น อานิสงส์ก็ย่อมมาก ตลอดไปจนกระทั่งถึงจิตที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ด้วยการที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
นอกจากนั้น การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจตุรทิศ
เป็นเรื่องของจิตใจทั้งสิ้น ซึ่งบริสุทธิ์ขึ้น ละเอียดขึ้น เพราะว่าเพียงการให้ทาน แต่ถ้าปราศจากความเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ อานิสงส์ก็น้อย เพราะเหตุว่าไม่เกิดปัญญาที่จะรู้คุณค่าของพระรัตนตรัย แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะแล้ว การที่มีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น ย่อมมีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงขั้นเลื่อมใส แต่ถึงขั้นประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อการละกิเลส เพื่อการขัดเกลากิเลสด้วย
และถึงแม้ว่าเป็นผู้ที่มีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบทแล้ว การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุด แม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท เพราะเหตุว่าในขณะที่มีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท งดเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น ก็วิรัติในขณะที่มีวัตถุที่จะล่วงทุจริตปรากฏเฉพาะหน้า แต่เวลาที่ไม่มีวัตถุที่จะล่วงทุจริตที่จะให้เกิดปาณาติบาต หรือที่จะให้เกิดมุสาวาท เป็นต้น จิตใจก็ย่อมจะเป็นไปในอกุศลมาก โดยละเอียด เช่น มีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะอยู่ เป็นประจำทีเดียว แต่การที่บุคคลเจริญเมตตาจิต ในขณะนั้นเป็นกุศล ไม่ผูกพัน ปรารถนา ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นมีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น
แต่แม้กระนั้น ก็จะต้องขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น เพื่อที่จะดับกิเลสให้หมดเป็นสมุจเฉท ด้วยเหตุนี้การที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญา คือ ระลึกถึงความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น และดับไปของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ แม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิต โดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
จะเห็นได้ว่า การละกิเลส การขัดเกลากิเลสนั้น ละเอียดขึ้น และประณีตขึ้น จนกระทั่งแม้ศีลที่ละเอียดขึ้น ก็จะเป็นศีลวิสุทธิ เพราะเหตุว่าเป็นศีลที่เกิดขึ้นพร้อมกับสติ และปัญญาที่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในขณะนั้น จึงวิสุทธิ บริสุทธิ์จากกิเลสที่เคยยึดถือสภาพของนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน
ที่มา ...