อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา


    ข้อความใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต คัทรภสูตร ข้อ ๕๒๒ มีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลาติดตามไปเบื้องหลังฝูงโค มันร้องว่า แม้เราก็เป็นโค แต่สี เสียง และรอยเท้าของมันหาเหมือนของโคไม่ มันเป็นแต่เดินตามหลังฝูงโคร้องว่า แม้เราก็เป็นโคๆ ดังนี้เท่านั้น แม้ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็นภิกษุๆ แต่ความพอใจในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาของเขาหาเหมือนของภิกษุทั้งหลายไม่ เขาเป็นแต่ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็นภิกษุๆ ดังนี้เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิศีลสิกขา เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิจิตตสิกขา เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิปัญญาสิกขา

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาเช่นนี้แล ฯ

    ข้อปฏิบัติถูกนี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวตามๆ กันไปว่า ปฏิบัติธรรมๆ หรือว่าทำวิปัสสนา แต่ข้อปฏิบัตินั้นเป็นอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขาจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่เหมือนลาที่ติดตามไปเบื้องหลังฝูงโคแล้วร้องว่า แม้เราก็เป็นโค แต่ความพอใจในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาของเขาหาเหมือนของภิกษุทั้งหลายไม่ เขาเป็นแต่ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็นภิกษุๆ ดังนี้

    เพราะฉะนั้น ท่านที่มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการเจริญมรรคมีองค์ ๘ คือในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขานั้น ท่านเหล่านั้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ตามความเป็นจริง ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางใจที่กำลังเป็นสุข เป็นทุกข์ ความรู้สึกต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ผู้ที่มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมีศรัทธาอย่างแรงกล้า มีความพอใจอย่างแรงกล้า ก็จะต้องปฏิบัติอย่างนี้ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่จะคิดว่า ยากเกินไป หรือว่าจะต้องไปประพฤติปฏิบัติอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งในอริยสัจธรรม

    สำหรับจุดประสงค์ของการรักษาศีล ไม่ควรเป็นเพียงเพื่อวิรัติทุจริตทางกาย หรือว่าทางวาจาเท่านั้น แต่ว่าควรจะเพื่อการขัดเกลากิเลส ด้วยการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อที่จะได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทด้วย

    ถ้าท่านไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ย่อมจะไม่เห็นกิเลสเลยว่า กิเลสมีมากสักแค่ไหน แต่ถ้าเป็นผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะรู้สภาพของจิตที่ประกอบด้วยกิเลสว่า ในวันหนึ่งๆ มีมากเหลือเกิน ตามปกติที่นั่งอยู่ในขณะนี้ มีกิเลสแทรกแซงบ้างหรือเปล่า หรือว่าเป็นกุศลจิตอยู่เสมอ ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติจริงๆ ยากที่จะทราบได้

    ขอเปรียบเทียบกับทางร่างกาย ตามปกติย่อมจะไม่รู้สึกว่า ในวันหนึ่งๆ นี้ ร่างกายมีความสกปรกอยู่เรื่อยๆ มีฝุ่นละออง มีการแปดเปื้อนละอองธุลีต่างๆ ที่เป็นความสกปรก เวลาที่ล้างมือถูสบู่ก็จะเห็นว่า น้ำล้างมือนี้ดำ ไม่สะอาด สกปรก แต่เวลาที่ยังไม่ล้าง อย่างในขณะนี้ มีใครบ้างที่คิดหรือที่ทราบว่า มือของท่านสกปรก ถ้าไม่ล้างก็มองไม่เห็นใช่ไหม แต่เมื่อไปล้างจึงเห็นว่า แม้แต่มือซึ่งไม่เห็นความสกปรก เวลาที่ล้างน้ำถูสบู่แล้ว ความสกปรกนั้นก็ออกมาปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น จิตใจก็เหมือนกัน ในวันหนึ่งๆ ไม่ปรากฏความไม่สะอาด ความแปดเปื้อนมลทินด้วยกิเลส เพราะว่าสติไม่ได้ระลึกรู้อย่างละเอียดจริงๆ ว่า ในขณะนั้นจิตใจเป็นอกุศลอย่างไร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ย่อมจะเห็นสภาพของอกุศลจิตได้ โดยที่ว่า ถ้าขณะใดสติ และปัญญาไม่เกิดขึ้น ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ในขณะนั้นเป็นความไม่รู้ซึ่งเป็นอกุศล เป็นธุลี เป็นความสกปรกชนิดหนึ่ง ซึ่งปกติธรรมดานอกจากจะมีความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแล้ว ยังมีความยินดีพอใจอยู่เรื่อยๆ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และถ้าศึกษาสภาพของจิตที่เกิดสืบต่อกันเป็นวิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็จะทราบได้ว่า ขณะใดที่จิตไม่เป็นกุศล ขณะนั้นจิตเป็นอกุศล ถึงแม้ว่าปกติธรรมดาอย่างนี้ดูเสมือนว่าไม่ได้เป็นความชอบ ความยินดี ความพอใจในอะไรเป็นพิเศษ ทางตาก็เห็น ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่า มีความชอบ มีความยินดี มีความพอใจในวัตถุหนึ่งวัตถุใดเป็นพิเศษ แต่ขณะนั้น มีความพอใจที่จะเห็น เป็นของธรรมดา

    คำว่า จักขุ มาจากคำว่า จักขะ ซึ่งหมายความถึงความชอบใจ ชอบใจที่จะเห็น ชอบใจที่จะดู แม้ในสิ่งหรือแม้ในบุคคลที่ไม่เป็นที่พอใจ เคยรู้สึกว่าอยากจะดูคนที่เราไม่ค่อยชอบบ้างไหม คือ อยากจะทราบว่าวันนี้เขาเป็นอย่างไร เขามีกิริยาอาการอย่างไร คิดอย่างไร ทำอย่างไร ถึงแม้ว่าไม่ใช่อารมณ์ที่น่าพอใจ แต่ก็ยังมีความอยากรู้ อยากดู อยากเห็น เพราะฉะนั้น ก็เป็นความพอใจในการที่จะเห็น ในการที่จะได้ยิน ในการที่จะได้กลิ่น ในการที่จะลิ้มรส ในการที่จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แม้แต่ในการที่จะคิดนึกตรึกไป ก็จะมีความพอใจในการที่จะคิดไปในเรื่องอย่างนั้นๆ แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมตามปกติเป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลธรรม ถ้าสติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ย่อมเป็นการยากที่จะแยก รู้ว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการรักษาศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีลยิ่งกว่านั้นของบรรพชิต ก็ควรที่จะได้ทราบว่า นอกจากจะเป็นการวิรัติทุจริตทางกาย ทางวาจา ก็ยังเป็นการขัดเกลากิเลสให้ถึงซึ่งการดับเป็นสมุจเฉท ด้วยการอบรมเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 568


    หมายเลข 13206
    24 พ.ย. 2567