ผมฟังหลายอาจารย์ ฟังอย่างไรก็ไม่รู้


    ถ. เมื่อก่อนนั้น ผมฟังหลายอาจารย์ ฟังอย่างไรก็ไม่รู้ ผมบวชที่บ้านผมกับเพื่อน เขาบอกให้ฉันข้าวมื้อเดียว ให้ฉันสำรวม และให้เดินช้าๆ รู้สึกว่า ขัดกับความรู้สึกผมอย่างมาก มาฟังอาจารย์สุจินต์แล้วรู้สึกว่าเป็นปกติ ระเบียบนี้ผมฟังมาหลายอาจารย์แล้ว ตัวผมเองเป็นคนเชื่อคนยากที่สุด เชื่อยากมาก หลายอาจารย์รู้สึกไม่ค่อยเชื่อ พอมาฟังอาจารย์สุจินต์ พูดได้ลึกซึ้งมาก ละเอียดมาก และไม่กระทบใคร เคยฟังหลายอาจารย์ บางคราวฝืนความรู้สึก และกระทบผู้อื่นด้วย อาจารย์สุจินต์ ถ้าฟังไม่ตลอด อาจจะตีปัญหาไม่ออก

    สุ. ขออนุโมทนาที่ท่านเห็นว่า การเจริญสติเป็นปกติเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะถ้าเกิดความหวั่นไหว หรือการกระทำขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ผู้ที่มีความสังเกตระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ จะรู้ว่า มีความเป็นตัวตนอยู่ในขณะนั้น จึงหวั่นไหว เพราะว่าสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงทั้งหมดเป็นของจริง ต้องเป็นผู้ที่อาจหาญ กล้าที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วเพราะเหตุปัจจัย และการอาจหาญกล้าที่จะระลึกรู้ จะทำให้เห็นตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมในขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น และเป็นสภาพธรรมลักษณะต่างๆ ด้วยเหตุนี้ ปัญญาจะต้องรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกตินี้เอง จึงจะเป็นการถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น ขอให้อบรมเจริญสติปัฏฐานต่อไปเรื่อยๆ

    ถ. บางทีก็เผลอ ลืมทุกครั้ง บางทีขึ้นต้นใหม่ มันลืม เพราะรู้ว่าสติเผลอ บางครั้งก็รู้ บางครั้งก็ไม่รู้ แล้วแต่การสะสมมาหลายต่อหลายชาติ จะเอาอย่างใจไม่ได้ ต้องค่อยๆ ไป

    สุ. นี่เป็นการถูกต้อง คำพูดของท่านที่ว่า ระลึก รู้ และก็หลงลืม แล้วก็ตั้งต้นใหม่ ระลึก รู้ และก็หลงลืม ซึ่งในพระไตรปิฎกใช้คำว่า ปรารภสติ หรือว่าสติเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ คือ เกิดอีก แล้วก็ดับอีกไปเรื่อยๆ กว่าจะเป็นปัญญาที่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมได้ชัดเจน จะต้องอาศัยสติที่ระลึกรู้แล้วก็หมดไป และก็หลงลืม แล้วก็ตั้งต้นใหม่ ระลึก รู้ และก็หลงลืม

    การตั้งต้น ไม่มีตัวตนที่จะไปตั้งตนได้ แล้วแต่สติเกิดเมื่อไร

    ถ. แล้วแต่โอกาส

    สุ. เพราะฉะนั้น นามรูปก็มีเพียงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งวิจิตรมาก และเพราะการปรารภ คือ ระลึก ตั้งต้นไปเรื่อยๆ ซ้ำทางตาอีก ซ้ำทางหูอีก ซ้ำทางจมูกอีก ซ้ำทางลิ้นอีก ซ้ำทางกายอีก เมื่อยังไม่ใช่เป็นปัญญาที่คมกล้ารู้ชัด ก็ยังไม่สามารถที่จะทำลายกิเลสซึ่งสะสมมามากมายเหลือเกินในจิตใจมีปัจจัยพร้อม และเร็วที่จะเกิดปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยสติซึ่งปรารภบ่อยๆ และสังเกตโดยศึกษา สำเหนียกรู้ลักษณะของสภาพธรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเป็นปัญญาที่คมกล้า


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 563


    หมายเลข 13216
    21 ต.ค. 2567