แสวงหาปัญญาด้วย ไม่ใช่เพียงแต่แสวงหารูป
สำหรับผู้ที่ในชีวิตประจำวันไม่ได้แสวงหาปัญญา เพียงแต่แสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทรัพย์สมบัติ เพราะว่ายังไม่เห็นประโยชน์ และยังไม่เห็นคุณค่าของปัญญานั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้พิจารณาว่า นอกจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งที่ท่านผู้ฟังคงจะได้ยินบ่อยๆ ว่า กามทั้งหลายเปรียบเสมือนของที่ยืมเขามา ท่านกล่าวว่า เหมือนกับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งขอยืมของของคนอื่นมามากมายแล้วก็ใส่รถ และแล่นไปเรื่อยๆ
นี่คือชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เหมือนกับรถที่เคลื่อนไปทุกขณะ และสิ่งที่ได้รับ ในชาติหนึ่งๆ ก็เหมือนกับของที่ขอยืมเขามาทั้งหมด เพราะฉะนั้น เวลาที่รถแล่นไป พบเจ้าของของทรัพย์สมบัติที่ขอยืมเขามาคนใด เจ้าของนั้นก็เอาของนั้นคืนไป แสดงให้เห็นว่า ในชีวิตของทุกคนไม่ใช่ว่าจะมีแต่ได้ลาภหรือสมบัติ แต่ต้องมีการ เสียสมบัติ และเสียลาภ เสื่อมลาภด้วย
ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกเลย ตลอดชาติ เป็นแต่สิ่งที่ขอยืมมาเท่านั้น ในระหว่างที่นั่งรถแล่นไปเรื่อยๆ เมื่อพบปะเจ้าของทรัพย์ผู้ใด เขาก็เอาของนั้นคืนไป ก็จะไม่เดือดร้อนใจ เพราะว่าทุกชาติก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้ว สิ่งที่ควรจะแสวงหา คือ ปัญญาที่ทำให้ รู้ความจริงของสภาพธรรมจนกระทั่งสามารถละคลายความติด ซึ่งเป็นเหตุให้เกิด ความทุกข์ได้ ถ้าได้รู้ลักษณะของปัญญาก็จะทำให้แสวงหาปัญญาด้วย ไม่ใช่เพียงแต่แสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และทรัพย์สมบัติเท่านั้น
ที่มา ...