ทฬิททสูตร การบรรลุอริยสัจธรรมของสุปปพุทธะ


    อีกท่านหนึ่ง คือ สุปปพุทธกุฏฐิ ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ทฬิททสูตร ใน อรรถกถาสารัตถปกาสินี มีข้อความว่า

    สุปปพุทธะเป็นคนที่ยากจนข้นแค้นอย่างยิ่งตั้งแต่เกิด พอโตขึ้นพอที่จะขอทานได้ มารดาก็ให้ขอทานเลี้ยงตัวเองไปตามกรรมของตน แล้วมารดาก็ทิ้งไป ตั้งแต่เกิดมา สุปปพุทธะก็อดอยากที่สุด ข้นแค้นที่สุด กินแต่ปลายข้าวกับน้ำ และก็ยังเป็นโรคเรื้อนเนื้อหลุด น้ำเหลืองไหล อาศัยนอนตามริมถนน ครวญครางทั้งคืนด้วยความเจ็บปวดซึ่งทำให้พวกมนุษย์ในถนนทุกสายนั้นนอนไม่หลับไปตามๆ กัน

    สำหรับสุปปพุทธะเองก็หลับๆ ตื่นๆ ดังนั้น จึงได้ชื่อว่าสุปปพุทโธ คือ หลับ และตื่น ซึ่งอดีตกรรมของท่านนั้นมีว่า

    ในอดีตกาล ครั้งหนึ่ง ท่านเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี ในแคว้นกาสี พระองค์ได้เสด็จกระทำประทักษิณพระนครที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม และมหาชนก็เฝ้าชมสิริสมบัติของพระองค์อยู่

    ก็ในสมัยนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เสด็จลงจากภูเขาคันธมาทน์ เสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในพระนครนั้น ทรงสำรวมอินทรีย์ คือ มีอินทรีย์สงบ ประกอบด้วยการฝึกฝนอย่างสูงสุด มหาชนก็ละความยำเกรง ความสนใจต่อพระราชา หันไปมองดูแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น

    พระราชาทรงแปลกพระทัยที่มหาชนไม่ได้มองดูพระองค์ และพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้เฒ่าทรงจีวรเก่าๆ พระราชามิได้ทรงมีจิตเลื่อมใส มิได้ทรงกระทำกรรม แม้สักว่าเหยียดพระหัตถ์ออกแล้วถวายบังคมแก่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ทรงบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๒ อสงไขยแสนกัป พระราชาทรงพระพิโรธ และทรงพระดำริผิดไปว่า ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงมีพระอินทรีย์สงบ ทรงสำรวมอินทรีย์นั้น มิได้มองดูพระองค์ เป็นเพราะริษยาพระองค์

    แล้วทรงดำริด้วยความดูหมิ่นว่า พระนี้อะไรกัน ห่มจีวรขี้เรื้อน ทรงถ่มพระเขฬะแล้วทรงหลีกไป ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระราชาพระองค์นั้น จึงไปเกิดใน มหานรก และเมื่อได้มาเกิดในมนุษย์โลกนี้ ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ ก็ได้เป็นคนยากจนข้นแค้นที่สุด และเป็นโรคเรื้อนด้วย

    ต่อมาสมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จถึงพระนครราชคฤห์ ชาวนครนิมนต์พระศาสดา และได้สร้างมณฑปใหญ่ขึ้นท่ามกลางพระนคร ได้ถวายทานกันแล้วต่อมาแม้สุปปพุทธะโรคเรื้อน ก็ไปนั่งอยู่ไม่ไกลจากมณฑปอันเป็นที่ถวายทาน ชาวพระนครได้อังคาสพระสงฆ์มีพระผู้มีพระภาคเป็นประมุข ด้วยของควรเคี้ยวควรฉันอันประณีต และได้ให้ข้าวยาคู และภัตแม้แก่สุปปพุทธะนั้น เขาบริโภคอาหารอันประณีตแล้ว มีจิตสงบ

    ในที่สุดแห่งภัตกิจ พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนา และทรงแสดงอริยสัจธรรมสุปปพุทธะนั่งแล้วในที่ๆ ตนนั่งนั้นเอง ในที่สุดแห่งพระเทศนา สุปปพุทธะก็ได้บรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับแล้ว สุปปพุทธะก็ถือไม้เท้ากลับไปที่อยู่ของตน แต่ก็ได้ถูกแม่โคขวิดสิ้นชีวิต ไปปฏิสนธิในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ข้อความใน ทฬิททสูตรที่ ๔ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มีว่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง เมื่อพระองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าในกาลครั้งนั้น พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากันยกโทษตำหนิติเตียนว่า ดูกร ท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์นัก ดูกร ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ยังไม่เคยมีมาเลย เทพบุตรผู้นี้เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน เป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์กำพร้า เป็นมนุษย์ยากไร้ เมื่อแตกกายตายแล้ว เขาอุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยรัศมี และยศ

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลท้าวสักกะจอมเทพตรัสกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า ดูกร ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่ายกโทษต่อเทพบุตรนี้เลย ดูกร ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เทพบุตรนี้แล เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ยึดมั่น ศรัทธา ศีลสุตตะ จาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ครั้นยึดมั่นศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว เมื่อแตกกายตายลง จึงอุบัติยังสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทพเหล่าอื่นด้วยรัศมี และยศ

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อจักทรงพลอยยินดีกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ จึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า บุคคลใดมีศรัทธา ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระตถาคต มีศีลงามที่พระอริยเจ้าพอใจสรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสนชีวิตของบุคคลนั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบเนืองๆ ซึ่งศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรมเถิด

    บอกให้ไปสู่สำนักไหนหรือเปล่า สุปปพุทธะยากจนข้นแค้นที่สุด ท่านผู้ที่มีชีวิตลำบากคงจะเทียบได้ว่า ชีวิตของท่านคงไม่ถึงกับสุปพุทธกุฏฐิ แต่สุปพุทธกุฏฐิซึ่งมีฐานะตรงกันข้ามกับพระเจ้าสุทโธทนะ ก็ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า หลังจากที่ได้ไปสู่ที่มณฑปที่เขาถวายทานแก่พระผู้มีพระภาค เขาได้ให้อาหารที่ประณีตแก่ สุปปพุทธะ ทำให้สุปปพุทธะมีใจสงบ มีใจสบาย มีความผ่องใส ต้องไปอดๆ อยากๆ หรือเปล่า หรือว่าได้อาหารที่ทำให้มีกำลัง ก็เป็นอาหารสัปปายะ แล้วแต่ว่าอาหาร สัปปายะของท่านคืออะไร


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 316


    หมายเลข 13244
    12 พ.ย. 2567