วณิชชสูตร ว่าด้วยการค้าขาย


    ท่านจะได้อะไรมาในชีวิต ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้ได้สิ่งนั้นมา จะได้ไหม หรือการที่ท่านจะเสียอะไรไปก็เหมือนกัน แต่โดยมากทุกคนมีแต่ความคิดเรื่องจะได้ คิดเรื่องจะเสียบ้างหรือเปล่า ไม่ต้องการจะเสียเลย แต่ก็ยังต้องเสีย ซึ่งก็ต้องมีทั้งได้ และมีทั้งเสีย เพราะว่าในชีวิตของแต่ละคนนั้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะกุศลกรรมเท่านั้น อกุศลกรรมก็มี

    การที่บุคคลใดเกิดกุศลศรัทธาที่จะสละวัตถุเพื่อประ โยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ไม่ใช่เป็นเหตุที่จะให้หมดไป แต่ว่าเป็นจิตที่ดี ที่จะทำให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้นได้รับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะตามควรแก่เหตุ ซึ่งแต่ละคนก็บังคับจิตของตนเองไม่ได้ว่าจะให้มาก หรือว่าจะให้น้อย

    จะเห็นได้ว่า ปัจจัยที่จะทำให้เกิดนามรูปในชีวิตทั้งหมดเป็นเรื่องที่ละเอียด และซับซ้อนมาก ยากที่จะรู้ถึงเหตุในอดีตได้ว่า ที่ได้รับมาแล้ว และที่เสียไปนั้นเป็นเพราะผลของกรรมอะไร แต่พอที่จะทราบว่า ขณะใดที่ได้รับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดี ก็เป็นผลของกุศลในอดีต และขณะใดที่ต้องสูญเสียรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทรัพย์สมบัติไป ก็เป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ในอดีต การได้รับทรัพย์สมบัติมากหรือน้อยในชีวิตของแต่ละคนนั้น ย่อมขึ้นกับเหตุที่ได้กระทำไว้

    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต วณิชชสูตร มีข้อความว่า

    ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายขาดทุน

    อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลในโลกนี้ทำการค้าขายไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์

    อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายได้กำไรตามประสงค์

    อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์

    ถ้าถามนักเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ก็จะต้องว่า เพราะเหตุนั้น เพราะประการนี้ ต่างๆ นานา แต่นั่นเป็นการสันนิษฐานเหตุการณ์ที่ปรากฏ ที่พอจะคิด หรือเทียบเคียงได้ตามวิสัยของผู้ที่ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงเหตุในอดีตซึ่งเป็นปัจจัยทำให้แม้ว่าบุคคลมีความสามารถเท่ากัน มีทุน มีทรัพย์ในการค้าขายเท่ากัน มีทุกอย่างเสมอกัน แต่แม้กระนั้นผลที่ปรากฏก็ต่างกัน ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุที่ไกลกว่านั้น คือ เป็นความวิจิตรของจิตที่ได้สะสมมาในอดีต

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์ เขากลับไม่ถวายปัจจัยที่เขาปวารณา ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้น มาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมขาดทุน

    สภาพของจิต ตั้งใจไว้ ปวารณาไว้ว่า จะถวายแต่กลับไม่ถวายตามที่ปวารณา เพราะฉะนั้น ทำการค้าขายอย่างใดๆ ย่อมขาดทุน คงจะมีหลายท่านซึ่งเห็นว่า อาชีพพ่อค้าก็ดูเหมือนว่าจะมีแต่ทางได้กำไร ลงทุนไปเท่าไร ก็ขายให้มากขึ้น ก็คงจะได้กำไร แต่ทำไมจริงๆ ไม่เป็นอย่างนั้น

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์ แต่เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ไม่เป็นไปตามประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้น มาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์

    ปวารณาว่า จงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์ แต่เวลาถวายๆ ปัจจัยที่ปวารณาไว้ไม่เป็นไปตามประสงค์ เพราะฉะนั้น เมื่อทำการค้าขายอย่างใดๆ ย่อมไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ต้องประสงค์ เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ตามที่ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้น มาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรตามที่ประสงค์

    เมื่อปวารณาอย่างไรก็ถวายอย่างนั้นก็ย่อมได้ตามที่ประสงค์

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วปวารณาว่า ขอท่านจงบอกปัจจัยที่ต้องประสงค์ เขาถวายปัจจัยที่ปวารณาไว้ยิ่งกว่าที่ประสงค์ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้น มาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์

    ถ้าศึกษาประวัติของพระสาวกก็จะทราบว่า มีหลายท่านที่มีอาชีพเป็นพ่อค้า และในอดีตท่านก็เคยถวายปัจจัยยิ่งกว่าที่ได้ปวารณาไว้ หรือยิ่งกว่าที่พระภิกษุสงฆ์ท่านประสงค์ เช่น วิสาขามิคารมารดา เป็นต้น

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายขาดทุน นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ทำการค้าขายได้กำไรตามที่ประสงค์ นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เครื่องให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำการค้าขายได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์

    ท่านผู้ฟังคงจะไม่คิดเฉพาะอาชีพพ่อค้า อาชีพอื่นก็เหมือนกัน แม้จะไม่ได้ ประกอบอาชีพอะไร ก็มีการได้การเสีย ซึ่งก็ย่อมจะเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น ที่แต่ละคนจะนั่งคิด โศกเศร้า เป็นทุกข์ว่า ตัวเองทำดีเหลือเกิน ขยันมาก แต่ว่าไม่ก้าวหน้าในงานอาชีพ หรือสิ่งที่ได้รับไม่เหมาะสมกับความขยันความบากบั่น

    ควรไหมที่จะนั่งเป็นทุกข์ เศร้าโศก คิดว่าเป็นเพราะคนอื่นไม่ยุติธรรม โลกไม่ยุติธรรม ซึ่งความจริงแล้ว เรื่องของกรรมยุติธรรมจริงๆ แต่ละคนที่เกิดมา ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ไม่ว่าจะได้อะไร จะเสียอะไร เป็นเพราะผลของการกระทำของท่านเองทั้งหมด เพราะเหตุว่าธรรมนั้นยุติธรรม ไม่ได้รับสินบนจากใคร เรื่องของกรรมเป็นเรื่องของเหตุของผล ใครจะไปไหว้วอนกราบไหว้เปลี่ยนกรรมชนิดหนึ่งว่า อย่าให้ผลอย่างนั้น หรือให้ผลเร็วกว่านั้น หรือให้ผลช้ากว่านั้น ก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของความยุติธรรมอย่างยิ่งของธรรม


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 201


    หมายเลข 13280
    23 พ.ย. 2567