ปวารณาสูตร
ใน สังยุตตรนิกาย สคาถวรรค ภาค ๒ ปวารณาสูตร ที่ ๗
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปุพพาราม ปราสาทของวิสาขา มิคารมารตา เขตพระนครสาวัตถี พระองค์ประทับกับภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด พระองค์ประทับนั่งในที่แจ้ง เพื่อทรงปวารณาในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอปวารณาเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเราบ้างหรือ
ท่านพระสารีบุตรก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า พระองค์เป็นศาสดาและสาวกก็เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระองค์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยที่สาวกทั้งหลายจะติเตียนพระผู้มีพระภาคได้ เพราะพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันนั้นท่านพระสารีบุตรก็ได้กราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจา ของภิกษุทั้งหลายเหล่านี้บ้างหรือ
พระผู้มีพระภาคก็ตรัสสรรเสริญท่านพระสารีบุตร เวลาที่ท่านพระสารีบุตร กราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ ของภิกษุ ๕๐๐ รูป เหล่า นี้บ้างหรือ พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทาง กายหรือทางวาจา ของบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุ ๖๐ รูปเป็นผู้ได้วิชชา ๓ ภิกษุ ๖๐ รูปเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ ภิกษุ ๖๐ รูปเป็นผู้ได้ อุภโตภาควิมุตต ภิกษุที่เหลือได้ปัญญาวิมุตติ นี่ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นแล้วนะคะ ว่า ในการเจริญสติปัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคนั้น แล้วแต่อัธยาศัยว่าท่านผู้ใดเคยเจริญสมาธิถึงขั้นที่จะได้ วิชชา ๓ ถึงขั้นที่จะได้อภิญญา ๖ สามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ หรือสามารถที่จะได้อุภโตภาควิมุตต คือเจริญสมถะได้ฌานแล้วบรรลุมรรคผล แต่ว่าที่เป็นปัญญาวิมุตติมีมากกว่า
นี่ก็เป็นเรื่องที่จะชี้ให้เห็นว่า เหตุใด พระผู้มีพระภาคจึงมิได้ทรงวางกฏเกณฑ์ในการเจริญสติปัฏฐาน ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฏกจึงไม่มีสำนักของฆราวาสเลยในครั้งพุทธกาล มีแต่สำนักของสงฆ์เท่านั้น เพราะว่า คำว่าสำนักนั้นแปลว่าที่อยู่ ฆราวาสมีบ้านเรือนเป็นที่อยู่เจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันตามปกติ เพื่อที่จะให้รู้ลักษณะของนามและรูปทั่ว เพื่อละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือนามและรูปนั้นว่าเป็นตัวตนในเพศของฆราวาส บรรพชิตก็เจริญสติปัฏฐานที่สำนักโดยการ ที่รู้ลักษณะของชีวิตจริงๆ ของท่านตามปกติ เพราะว่า จะต้องรู้ลักษณะของนามและรูปทั่ว จึงจะละคลายความเห็นผิดที่เคยยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้
ถ้าท่านคิดว่าคนในสมัยโน้นมีสัทธาน้อยกว่าคนในสมัยนี้ ก็เข้าใจผิดเพราะเหตุว่าคนสมัยโน้นได้ฟังพระธรรมมีสัทธา ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือไม่ว่าจะเป็นทาสีก็เจริญสติปัฏฐาน ถ้าพูดถึงสัทธาผู้ที่เป็นอริยบุคคลย่อมมีสัทธามากกว่าผู้ที่ไม่ใช่อริยบุคคล อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นอุบาสก มีทรัพย์สินเงินทองบำรุงพระภิกษุบำรุงพระสงฆ์ แต่ท่านมิได้สร้างสำนักปฏิบัติของฆราวาส วิสาขามิคารมารดาเป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใส มีความสัทธา มั่นคงในพระรัตนตรัย เป็นผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทอง มีทั้งสัทธา มีทั้งปัญญา มีทั้งทรัพย์ แต่ วิสาขามิคารมารดาก็ไม่ได้สร้างสำนักปฏิบัติ เป็นเพราะเหตุใด คนในสมัยโน้นจึงไม่มีสำนักปฏิบัติของฆราวาส เพราะเหตุว่า คนในสมัยโน้น ไม่ได้เข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องของข้อปฏิบัติถ้าจะคิดถึงขุชชุตตรา ซึ่งเป็นอุบาสิกาสาวิกา เป็นเอตทัคคะในทางพหูสูตร เป็นผู้ที่ได้ฟังมาก แต่ขุชชุตตราก็ไม่ได้มีสำนักปฏิบัติ ไม่มีใครตั้งสำนักปฏิบัติในครั้งโน้นเลย
ที่มา ...