เริ่มอ่านพระไตรปิฎกเล่มไหนจึงจะดี
ท่านอาจารย์ ชอบฟังเรื่องสนุกๆ ไหมคะ ชอบ นั่นคือโลภะ มีจริงๆ และที่ชอบเรื่องสนุกๆ ที่เขาแต่งให้เราสนุก เราคิดเองไม่ออกก็ต้องไปอาศัยทีวีบ้าง หนังสือบ้าง แล้วก็เพลิดเพลินไปกับเรื่องที่สนุกต่างๆ แล้วเราจะสังเกตได้ว่า แม้กายวาจาของคนที่อยู่ในโทรทัศน์ เราก็เห็นได้ ความประพฤติอย่างไหนถูกหรือไม่ถูก ดีหรือไม่ดี ถ้าจะสังเกตในโทรทัศน์จะมีตอนที่เขารับประทานอาหารกัน มีไหมคะ แล้วเวลารับประทานอาหารไม่มีช้อนกลางเลย ต่อไปนี้ถ้าดูโทรศัพท์ถึงตอนรับประทานอาหารแล้วมีช้อนกลางช่วยบอกด้วย เพราะจริงๆ แล้วเท่าที่ดูมาไม่มีเลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูก ไม่ควร แต่ก็ออกมาอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราอ่านพระวินัยปิฎก เราจะเป็นคนที่ละเอียดขึ้นในเรื่องความลุ่มลึกของกิจของกาย ของวาจา นี่เป็นคาวมละเอียดความลุ่มลึกของปิฎกหนึ่งซึ่งละเอียดมาก ทุกคนไม่ต้องคิดว่า ฉันยังเด็ก ยังไม่อ่าน อ่านเลยค่ะ พระไตรปิฎกทั้งหมด
นี่เป็นปิฎกที่ ๑ แต่ถ้าคิดว่า พระไตรปิฎกที่เป็นพระวินัยปิฎกก็ละเอียด ก็ลองไปอ่านพระสุตตันตปิฎก
เพราะฉะนั้น ชีวิตทุกวันจะมีปัญหามากในเรื่องการกระทำทางกาย ทางวาจาซึ่งถ้าใครสนใจอยากจะรู้ความละเอียดว่าอะไรดี ก็อ่านพระวินัย แต่ถ้าคิดว่าพระวินัยไม่เห็นมีเรื่องมีราวอะไรเลย ก็อ่านพระสูตร ซึ่งพระไตรปิฎกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรมก็คือธรรม ถ้าไม่มีธรรม คือ จิต เจตสิก รูป จะไม่มีแม้พระวินัย หรือพระสูตร หรือพระอภิธรรมเลย แต่เพราะเหตุว่ามีธรรมซึ่งจำแนกออกไปได้หลายอย่าง ถ้าเป็นธรรมที่รวบรวมกันแล้วมีการสมมติบัญญัติว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นสัตว์ คนก็คือจิต เจตสิก รูป สัตว์ก็คือจิต เจตสิก รูป แต่ทำไมบอกว่านี่แมว นั่นนก นี่คน ถ้าเราไม่ใช้คำอย่างนี้ เราจะรู้ไหม เราก็ไม่รู้ว่า เราหมายถึงปรมัตถ์อะไร แต่พอเราบอกว่า คน เรารู้เลยว่า ต้องมีจิต เจตสิก รูป แต่ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกุศลถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นผลของอกุศลก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นจิ้งจก ตุ๊กแก งู อะไรก็ได้
นี่ก็คือเราเข้าใจทั้ง ๒ อย่าง คือ เข้าใจเรื่องราวด้วย และเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมด้วย แต่ต้องทราบว่า ปรมัตถธรรมสำคัญที่สุด เพราะเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เราเคยคิดว่า คนเที่ยงใช่ไหมคะ เกิดมาแล้วก็ตาย ตอนไม่เที่ยงก็คือตอนตาย แต่ความจริงเป็นจิตทุกขณะซึ่งเกิดดับ เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตก็ดับ รูปก็เกิดแล้วดับ แต่ว่าดับเร็วจนกระทั่งเหมือนไม่ดับเลย มีกับอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ว่าตรงนี้ตลอดได้อย่างไร ในเมื่อเห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ก็เป็นแต่ละขณะซึ่งสั้นมาก
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อเป็นอย่างนี้แม้แต่ “ธรรม” คำเดียวซึ่งเราได้ยินได้ฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีอะไรเลยที่ไม่เป็นธรรม แต่ธรรมมากมายเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น จึงต้องมีธรรมที่แบ่งประเภทใหญ่ๆ ให้เข้าใจเป็นนามธรรม และรูปธรรม และธรรมมากมายเหลือเกินไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ชีวิตวันนี้จนถึงเดี๋ยวนี้ ธรรมมากไหม ตลอดเวลาจนนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น จึงต้องแสดงธรรมโดยนัยของพระสูตรเพื่อจะกล่อมเกลาจิตใจของแต่ละอัธยาศัยให้เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม และให้เห็นโทษของความไม่รู้หรืออกุศลทั้งหมด ทรงแสดงไว้ละเอียดมากกับแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นธรรมที่น่าฟังมากในพระสูตร เรื่องราวในพระสูตรเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี จะต่างกับคนในสมัยนี้ไหมคะ เรื่องชีวิต ไม่ต่างเลย คนสมัยก่อนมีโลภ มีโกรธ มีหลง สนุกสนาน เมตตากรุณา คนสมัยนี้ก็เหมือนกัน เปลี่ยนแต่ชื่อใช่ไหมคะ ถ้าเอาชื่อในพระสูตรออก แล้วเอาชื่อในยุคนี้ไปใส่ ก็เปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ โลภะของคนนั้นก็ยังเป็นโลภะของคนนั้น โทสะของคนนั้นก็ยังเป็นโทสะของคนนั้น หรือจะเอาชื่อสมัยนี้ออกหมด แต่ก็เปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ เพราะสภาพธรรมเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่การอ่านพระสูตรจะทำให้จิตใจของเราอ่อนโยน และสอนละเอียดมาก เช่นความเป็นคนตรง ในพระอภิธรรมจะพูดเรื่องจิต เจตสิก รูปที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล แต่ในพระสูตรจะเอาอุปนิสัยต่างๆ ของแต่ละบุคคลมาแล้วแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ความเป็นคนตรงเป็นประโยชน์อย่างไร ถ้าเราไม่มีความเห็นถูก เราก็จะเป็นคนที่ตรงไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนเห็นถูก เราก็ต้องเป็นคนตรง ถ้าเวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็รู้ความโกรธเป็นอกุศล เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีเลย เป็นประโยชน์แก่ตัวเองหรือเปล่า ไม่เป็น เป็นประโยชน์กับคนที่เราโกรธหรือเปล่า ก็ไม่เป็น เป็นประโยชน์แก่ใครสักคนไหม ก็ไม่เป็น ก็ไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว นั่นคือลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นความโกรธซึ่งไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่ทรงแสดงโดยนัยของพระสูตร โดยหลากหลาย โดยละเอียด เราก็จะไม่เห็นโทษเลย และถ้าอกุศลที่ไม่ดีอย่างความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธของสลิตา เดิมเห็นว่าดีไหมคะไม่ดี และความโกรธของแบลร์เองดีไหมคะ หรือความโกรธของแบลร์ดี แต่ของสลิตาไม่ดี นี่คือไม่ตรง เห็นไหมคะ
เพราะฉะนั้น เรื่องของการตรงต้องตรง คือเห็นถูกตั้งแต่ต้น แล้วไม่เข้าใครออกใครเลย ไม่ใช่พอพ่อแม่โกรธไม่เป็นไร เราโกรธไม่เป็นไร คนอื่นโกรธเป็นไร อย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าความโกรธก็คือความโกรธ อยู่ที่ไหนก็ไม่ดี ต้องเป็นผู้ตรง ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ ยิ่งเรียนเรายิ่งรู้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละเอียด เพราะฉะนั้น สิ่งไหนเป็นความเห็นผิดแม้เพียงนิดเดียว ต้องทิ้ง ต้องละ ไม่ใช่ยังเก็บเอาไว้ ถ้าเป็นความเห็นถูกคือว่า สิ่งนั้นก็ต้องอบรมให้เห็นถูกมากขึ้น ต้องเป็นคนตรง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาจนถึงดับกิเลสได้ ต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นอุชุปฏิปันโน การปฏิบัติของเราก็ตรงด้วย
ที่จริงการสนทนาธรรมมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เวลาที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ไหน ก็มีผู้อยากจะฟังว่า ทรงแสดงธรรมอะไร ก็ไปเฝ้าแล้วทูลถามทุกเรื่อง เพราะพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอสมัยนี้ได้ยินคำว่า “สนทนาธรรม” เราก็ต้องคิดว่า เพราะว่า “ธรรม” เป็นสิ่งซึ่งเราจะเข้าใจโดยไม่ต้องศึกษา วิชาอื่นๆ เราก็ต้องศึกษากันทั้งนั้น ถ้าใครจะมีความรู้เรื่องอะไร คงไม่มีใครจะรู้ได้เองโดยไม่ต้องศึกษา ไม่ว่าวิชาอะไรทั้งหมด
เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ทรงตรัสรู้ คำว่า “ตรัสรู้” ให้ทราบว่า ไม่ใช่ว่าใครก็จะตรัสรู้ได้ ต้องเป็นผู้อบรมบำเพ็ญพระบารมีมา จึงสามารถตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่าง และทรงแสดงธรรมถึง ๔๕ พรรษา ถ้าเราจะเรียนวิชาอะไร คงไม่ต้องเรียนถึง ๔๕ ปี แต่สำหรับพระพุทธศาสนาเรียนตลอดชีวิตก็ไม่จบ ถ้าชาตินี้ไม่จบ ก็ไปต่อชาติหน้าต่อๆ ไป จนกว่าจะจบ คือความเป็นพระอรหันต์ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงละเอียด และลึกซึ้ง แล้วบางคนก็บอกว่ายาก ถ้าใครบอกว่าพระธรรมยาก ถูกหรือผิด คือเราจะต้องไตร่ตรอง และคิดเองถึงจะเป็นปัญญาของเรา ในขณะที่ฟังถ้ามีคนบอกว่า พระพุทธศาสนายาก จะถูกหรือจะผิดคะ แต่จริงๆ แล้วถ้าเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราบอกว่ายาก เป็นการสรรเสริญพระปัญญาคุณ เพราะว่าถ้าเป็นของง่ายๆ ใครก็รู้ได้ ไม่ต้องทำอะไรก็รู้ได้ ไม่ต้องเรียนก็รู้ได้ แต่ถ้าบอกว่า พระพุทธศาสนายาก เราก็รู้ได้ว่า เป็นการสรรเสริญพระปัญญาคุณ แต่ไม่ยากเกินกำลังที่เราจะศึกษา เพียงแต่ว่าเราจะต้องมีศรัทธาเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า การฟังพระธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิต เพราะว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชน ที่ใช้คำว่า “พุทธศาสนิกชน” หมายความถึงคนที่เลื่อมใสแล้วในพระธรรม แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วก็ไม่ศึกษาธรรม ก็เหมือนกับไม่ใช่พุทธศาสนิกชน เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร แล้วก็สอนอะไร แต่พระธรรมที่ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษามากมาย แต่เราจะเริ่มได้ไม่ว่าเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร เช่นในขณะนี้ต้องเป็นผู้ละเอียดที่จะต้องเข้าใจแม้คำแรก คือ “ธรรม” หรือ “ศาสนา”
ศาสนาคือคำสอน พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนเรื่องอะไร ทรงสอนธรรมที่เราใช้คำว่า “พระธรรม” เพราะว่า พระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
สำหรับพระพุทธเจ้าเราทราบว่า ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ แต่พระธรรม ถ้าเราไม่ศึกษา เราจะไม่ทราบเลย แล้วพระสงฆ์ที่นี่หมายถึงผู้เป็นพระอริยบุคคล ผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วอบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้ เช่น พระอรหันต์
มีใครชอบกิเลสบ้างไหมคะ หรือยังไม่รู้จักว่า กิเลสคืออะไร ชอบหรือไม่ชอบคะ ชอบใช่ไหมค่ะ ชอบกิเลสเป็นบางอย่าง นี่ก็เป็นความจริงใจ เพราะว่าเราชอบกิเลสบางอย่าง และไม่ชอบกิเลสบางอย่าง อย่างโทสะ ความโกรธ ความขุ่นใจ ความเสียใจ ความน้อยใจ เราไม่ชอบแน่ ไม่ว่าใคร เด็กๆ ก็ไม่ชอบ แต่กิเลสบางอย่างเราชอบ เช่น ความติดข้อง ความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นเรื่องจริงแล้วคำตอบก็ตรง คือคำตอบตรงกับความจริง แต่ทรงแสดงไว้ว่า กิเลสทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นความติดข้อง ความสนุกสนานซึ่งเป็นโลภะ หรือโทสะ ความขุ่นเคืองใจ ความน้อยใจ ความเสียใจ ความไม่สบายใจทุกอย่างไม่มีใครชอบ แต่ทั้งหมดที่เป็นกิเลส ความหมายของกิเลส คือ สภาพธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมอง “เศร้าหมอง” ที่นี่ไม่ได้หมายความว่า โศกเศร้า เศร้าหมองที่นี่หมายความว่า มีมลทิน คือไม่ผ่องใส
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ ให้เราละกิเลสด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้จิตใจไม่ผ่องใส สิ่งนั้นควรจะละ ไม่ใช่ควรจะติด แต่ไม่ได้ทรงแสดงแบบบังคับว่า ให้ละๆ ๆ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาบอกหรือบังคับให้เราละสิ่งนั้น ละสิ่งนี้ แต่ให้ฟังพระธรรมจนกระทั่งเห็นจริง เห็นโทษ แล้วปัญญานั้นเองจะทำหน้าที่ละคลายกิเลสไปตามลำดับ ไม่ใช่ทีเดียวหมดเลย เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะหมดโลภะ ไม่เหลือเลย ผู้ที่หมดโลภะ ไม่เหลือเลย มีบุคคลเดียวคือพระอรหันต์ แต่ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ จะค่อยๆ หมดกิเลสตั้งแต่ขั้นแรก คือ ความเห็นผิด ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม และละกิเลสไป แต่เราคงยังไปไม่ถึงตอนนั้น ต้องเริ่มฟังเหมือนเข้าโรงเรียนอนุบาลเลยจริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครบอกได้ว่า “ธรรม” คืออะไร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม สิ่งที่ทรงแสดงเราเรียกว่า “พระธรรม” เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ควรพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร นี่เป็นจุดตั้งต้นของการศึกษาพระพุทธศาสนา หรือว่าจะเข้าใจพระพุทธศาสนาจริงๆ ต้องเข้าใจทุกคำที่ได้ยินตามลำดับ พอที่จะมีใครตอบได้ไหมคะว่า ธรรมคืออะไร ยากไหมคะ เคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหมคะ ธรรมหรือพระธรรม แล้วธรรมคืออะไร คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วสั่งสอนเรื่องอะไรล่ะคะ คำตอบเยอะเลย เรื่องละความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์ ย่อลงมาแล้ว ยากไหมคะละความชั่ว แค่นี้เราต้องตรงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้ายากไหมที่ให้ละความชั่ว ยาก ถ้ายังมีเราอยู่ตราบใด ละได้ไหม ไม่ได้ แต่ต้องเป็นปัญญาจริงๆ เพราะว่าปัญญาทำหน้าที่รู้แล้วละสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ทำความดีให้ถึงพร้อมก็ยากไหมคะ ไม่ใช่แค่ทาน ยังต้องศีลอีก และชำระจิตให้บริสุทธิ์ หมายความว่าให้หมดจดจากกิเลส ยิ่งยากใหญ่ ถ้ามิฉะนั้นแล้วถ้าไม่ทรงแสดงอย่างนั้น ไม่ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ลองคิดดูว่า วันนี้เรามีกิเลสไหมคะ วันนี้ มี แล้วคิดดูจะละได้อย่างไร มีใครสักคนไหมที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสามารถให้เราเกิดปัญญาจนสามารถละกิเลสได้ บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เลิศที่สุด เพราะกิเลสไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอาเงินไปซื้อแล้วทิ้งไป ให้หมดไปได้ ไม่มีใครสามารถหมดกิเลสได้ด้วยเงินทอง แต่กลับยิ่งติด แต่การที่เราสามารถเห็นพระคุณ ถ้าเราเกิดโกรธ แล้วรู้ว่า เราบังคับความโกรธไม่ได้เลย แต่ผู้ที่แสดงธรรมจนสามารถทำให้เราดับความโกรธ ไม่เกิดอีกเลย ผู้นั้นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่แต่เฉพาะความโกรธ ความติดข้องต้องการ ซึ่งเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ ลองคิดดู ถ้าเราไม่ติดข้อง ไม่ต้องการอะไรเลย จะดีไหมคะ จะสบายไหม ไม่เดือดร้อนเลย แต่ที่เราเดือดร้อนมากๆ ก็เพราะเราติด เราต้องการ เราขวนขวาย เราอยากได้ทุกอย่าง ที่มีทุจริตต่างๆ เกิดขึ้นก็เพราะความต้องการหรือความติดข้อง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราพอใจอะไรสักนิดหน่อย และเรารู้ว่า นั่นเป็นความติดข้อง ผู้ที่แสดงธรรมให้เราดับความติดข้องได้หมด ไม่เหลืออีกเลย ไม่เกิดอีกเลยจะสุขสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น จะเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ต่อเมื่อเราพิจารณาตัวเอง และรู้ว่า กิเลสของเรามากอย่างนี้ กิเลสของคนอื่นก็มากอย่างนี้ แต่ผู้ที่ประเสริฐหรือเลิศที่สุด ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกนี้ ไม่ว่าในเทวโลก พรหมโลก ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์เลย เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงแสดงพระธรรมให้บุคคลที่ได้ยินได้ฟังสามารถสิ้นทุกข์โดยการดับกิเลสได้หมดเป็นสมุจเฉท สมุจเฉท คือไม่เกิดอีกเลย
นี่คือการเริ่มมีศรัทธาที่จะเห็นว่า ชีวิตของเราที่เป็นทุกข์ ได้สิ่งที่ไม่น่าพอใจบ้าง หรือต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักหรือสิ่งที่น่าพอใจ หรือต้องสูญเสียงสิ่งที่น่าพอใจ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เราต้องเศร้าโศก เกิดมาแล้วไม่มีใครสักคนที่จะไม่เศร้าโศกด้วยประการใดๆ ก็ตาม จะมากหรือจะน้อยก็ตาม แต่ผู้มีปัญญาสามารถดับความเศร้าโศกได้ ไม่เกิดอีกเลย
ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษาจริงๆ และเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ถ้าเราเป็นชาวพุทธ แต่เรายังไม่ได้ศึกษาพระธรรม เหมือนกับเรายังไม่เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หลายคนตั้งแต่เกิดมาก็คงจะเป็นพระพุทธรูปที่บ้าน ที่วัด นั่นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าคะ เป็นเพียงเครื่องหมายที่ทำให้เราระลึกถึงบุคคลผู้เลิศ ต้องทราบว่าระลึกถึงใคร ผู้ประเสริฐสุด ผู้ไม่มีกิเลสเลย แสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟังอย่างเดียว แม้บุคคลผู้สามารถเข้าใจพระธรรมอยู่แสนไกลเพียงใด คนเดียว ในพระสูตรแสดงว่า ทรงเสด็จไปเพื่อจะแสดงธรรมกับบุคคลนั้นด้วยพระมหากรุณา ไม่ได้ต้องการสิ่งใดเลย นอกจากให้เขาเกิดปัญญา สามารถเข้าใจธรรมได้
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสิ่งประเสริฐมากที่เราควรจะรู้จริงๆ ว่า คืออะไร แล้วที่ทรงแสดงไว้ที่เป็นประโยชน์กับเราในชีวิตประจำวันนี่เอง ไม่ใช่คอยให้เราเป็นทุกข์ แล้วจะเอาธรรมมาปลดเปลื้องความทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
เพราะฉะนั้น ขอตั้งต้นด้วยธรรมคืออะไร เมื่อกี้ก็ตอบกันไปพอสมควร แต่จริงๆ แล้ว ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งยากแสนยากแม้แต่เพียงจะคิดในขณะนี้ว่า อะไรมีจริง คือการศึกษาธรรมต้องค่อยๆ เป็นปัญญาของเราเอง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา แต่ถ้าเราตั้งต้นถูก เข้าใจถูกตั้งแต่ต้นตลอดทั้ง ๓ ปิฎก เราเข้าใจถูกต้องไม่สับสน ถ้าเรารู้ว่า ธรรมหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เราก็พิจารณาต่อไปอีกว่า สิ่งที่มีจริงต้องมีลักษณะปรากฏให้เห็น ให้รู้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ขณะนี้มีจริงๆ กำลังปรากฏ ปฏิเสธไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทางตา ทางหู เสียงปรากฏ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เสียงจริง สภาพได้ยินจริง ทุกอย่างที่มีจริงทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ความสุขของเราในวันหนึ่งๆ เกิดจากอะไรบ้างคะ ตาเห็นสิ่งที่พอใจ หูได้ยินเสียงที่พอใจ จมูกได้กลิ่นที่พอใจ ลิ้นลิ้มรสที่พอใจ กายกระทบสัมผัสกับสิ่งที่พอใจ ใจนึกคิดในเรื่องที่เป็นสุข ในวันหนึ่งก็แค่นี้เอง แต่ทรงตรัสรู้ว่า ตลอดชีวิตทุกภพชาติก็จะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แหล่งที่เกิดของสุข และทุกข์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย นี่ค่อยๆ เข้าไปถึงความหมายของคำว่า “อนัตตา” ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งเป็นคำสอนที่สามารถพิสูจน์ได้ อย่างเสียง คนหูหนวกไม่ได้ยิน แต่คนที่มีโสตปสาทได้ยินเมื่อเสียงกระทบหู ถ้าเสียงไม่กระทบหู จิตได้ยินไม่เกิด เสียงก็ไม่ปรากฏ นี่แสดงความเป็นอนัตตาแล้วว่า ไม่มีใครบังคับอะไรได้เลยสักอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ขณะเกิดจนกระทั่งขณะตายเป็นสภาพธรรมทั้งหมด และเป็นอนัตตา คือไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ขณะเกิดมีใครรู้ไหมคะว่า จะเกิดในโลกนี้ เป็นคนนี้ มีญาติพี่น้องอย่างนี้ วงศาคณาญาติ ทรัพย์สินเงินทอง มีเพื่อนฝูง มีการสูญเสียลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอย่างไร ไม่มีสามารถรู้ได้เลย และขณะนี้วันนี้กำลังเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ไม่มีใครรู้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้น นี่คือความหมายของอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทั้งสิ้น ขณะนี้กำลังเห็นเป็นธรรม เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ยังไม่รู้ความจริงของเห็น ถูกไหมคะ เห็นมี แต่เคยเป็นเราเห็น แต่ต่อไปจะรู้ว่า เห็นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นอะไร ตอนนี้เราตอบที่เราฟังเมื่อกี้นี้ง่ายๆ ว่า เห็นเป็นธรรม ถูกไหมคะ เป็นหรือเปล่าคะ เห็น ถ้าเป็นธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง คำนี้ตายตัวไม่เปลี่ยนเลย เวลาที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรม ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง หมายความว่าเมื่อทรงแสดงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยน จะไม่เปลี่ยนว่า ธรรมเป็นอัตตา เป็นของเรา หรือบังคับบัญชาได้ ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่ว่าทุกอย่างที่เป็นธรรม ก็เป็นธรรมจริงๆ ใช้คำว่า “ธรรม”
ทางโลกมีคำว่า “ธาตุ” ทุกคนเคยได้ยิน พอบอกว่าเป็นธาตุ อย่างธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเป็นของใครหรือเปล่า หรือว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น คำว่า “ธรรม” ก็มาจากคำว่า “ธาตุ” หมายความถึงเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏจริงๆ ขณะนี้เสียงกำลังปรากฏ จริงเมื่อไร จริงเฉพาะเมื่อกำลังปรากฏ หมดแล้ว ไม่มีอีกแล้ว จะไปหาที่ไหนอีกก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง จริงเฉพาะเมื่อกำลังปรากฏ ถ้าศึกษาธรรมต่อไป จะเห็นได้ว่า จะขยายทุกคำที่ทรงแสดงไว้ละเอียดขึ้นๆ และเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งสามารถเข้าใจได้ว่า ตัวของเราซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นโลกที่กว้างใหญ่ แท้ที่จริงก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ละชนิด เช่นขณะนี้ที่ตัว มีใครคิดบ้างว่า มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ เคยคิดไหมคะ