พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด


    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาทุกท่านที่มาสนทนาในวันนี้ เรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าคำว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ไม่ใช่ชื่อที่ใครๆ สามารถมีได้ เพราะเหตุว่าเป็นคุณธรรมแม้ในสวรรค์หรือพรหมโลกก็ไม่มี เพราะเหตุว่าผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานในโลกมนุษย์ซึ่งเป็นชมพูทวีป เพราะเป็นที่เหมาะควรต่อการได้รับฟังพระธรรมที่จะทรงตรัสรู้

    พระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น ถ้าเราสนใจฟัง และศึกษาในชั่วเวลาเพียงเล็กน้อย ก็จะได้เข้าใจเพียงสมควร แต่ถ้าสนใจเพิ่มขึ้น ศึกษาเพิ่มขึ้น เราก็จะเห็นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะว่าจริงๆ แล้วถ้ากล่าวถึงคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” แสนไกล ไกลมาก ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสจะเห็นเลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เป็นแต่เพียงรูปสักการะที่เรากราบไหว้บูชา เตือนให้ระลึกถึงพระคุณ แต่ต้องเป็นพระปัญญาคุณที่ได้สะสมมานานมาก จนสามารถตรัสรู้ความจริงของชีวิต และทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อจะอุปการะแก่สัตว์โลกตลอดที่ยังไม่ดับขันธปรินิพพาน ทรงแสดงพระธรรมมากมายกว่าบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทก็มีโอกาสได้ฟังธรรมตราบใดที่ยังมีพระธรรม คือ พระไตรปิฎก แต่ว่าการฟังนั้นต้องละเอียด และรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นสิ่งที่ต่างจากที่เคยคิด เคยเข้าใจ เพราะเหตุว่าเป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สำหรับครั้งแรกจะเป็นประโยชน์มาก ถ้าท่านผู้ฟังมีคำถามที่สนใจ และอยากให้คณะวิทยากรได้อธิบายข้อความนั้น พอจะมีคำถามไหมคะ

    ผู้ฟัง เรื่องท่านอุปติสสปริพาชกที่ท่านฟังธรรมจากพระอัสสชิ แล้วบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน เพียงฟังว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุ และความดับแห่งเหตุนั้น ท่านก็ได้บรรลุธรรม และนำพระธรรมข้อนี้ไปแสดงแก่โกลิตปริพาชก และท่านก็ได้บรรลุธรรมเช่นกัน อยากเรียนถามว่า เพราะเหตุใดท่านจึงสามารถบรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน ขอคำอธิบายด้วยค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบว่า “ธรรม” คืออะไรก่อน ที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุท่านรู้อะไร หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมอะไร เพราะถ้าเราเพียงแต่อ่านว่า ท่านพระสารีบุตรในสมัยที่ยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้ฟังธรรม ท่านก็ต้องสะสมปัญญามามากพร้อมที่ว่า เพียงฟังพระธรรมสั้นๆ ก็สามารถรู้ได้ ซึ่งคนในยุคนี้ก็จะต่างกับคนในยุคก่อน เพราะเหตุว่าคนในยุคก่อนฟังแล้วสามารถเข้าใจได้รวดเร็ว แต่คนในยุคนี้ต้องเริ่มตั้งแต่คำว่า “ธรรม” คืออะไร ที่ท่านพระสารีบุตรสามารถรู้ได้ เป็นธรรมเดียวกับที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือเปล่า

    ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ทุกคนคิดถึงคำว่า “ธรรม” และพยายามศึกษายิ่งขึ้น เช่น “ธรรม” คืออะไร

    ก่อนอื่นที่ใช้คำว่า “ธรรม” ก็คงจะยาก ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างตอบ แต่ถ้าจะถามว่า ขณะนี้ความจริงคืออะไร หรือว่าความจริงของชีวิต เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดมาแล้วมีชีวิตแน่นอนที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ชีวิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นความจริงของทุกคนคืออะไร

    ท่านวิทยากร ๒ ท่าน คุณสุภีร์กับคุณเผชิญค่ะ

    อ.สุภีร์ ความจริงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวานนี้ หรือวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ตื่นขึ้นมาก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส และคิดนึกในเรื่องนั้นๆ อย่างที่มาในสถานที่นี้ก็เห็นทุกๆ ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่แล้วก็คิดว่า แต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร มีลักษณะเป็นอย่างไร เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ซึ่งทุกๆ วันก็คงเป็นอย่างนี้ และต่อๆ ไปก็คงเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก อันนี้เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน และขณะนี้ก็เป็นจริงอย่างนี้ และขณะต่อไปก็เป็นจริงอย่างนี้เช่นเดิม ถ้าท่านอาจารย์ถามว่า สิ่งที่มีจริงหรือเป็นจริงในชีวิตเป็นอย่างไร คำตอบก็คือเป็นอย่างนี้ เหมือนตอนนี้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะกี่ชั่วโมงข้างหน้า ก็มีเห็น ได้ยิน และคิดนึกถึงสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินเหมือนตอนนี้ทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ นี่คือคำตอบว่า “ธรรม” คืออะไร “ธรรม” คือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ก่อนได้ฟังพระธรรม ทุกคนก็เห็น ทุกคนก็ได้ยิน เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ว่าเป็นเรา ไม่คุ้นเคยกับการเข้าใจว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงก็คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราก็คงเข้าใจความหมายของ “ธรรม” ว่า “ธรรม” หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ซึ่งอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เห็นก็เป็นธรรม เสียใจในวันหนึ่งๆ ก็มี ความรู้สึกเสียใจมีจริงก็เป็นธรรม เสียงมีจริง เสียงเป็นธรรม กลิ่นมีจริงก็เป็นธรรม รวมความว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม

    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมคือรู้แจ้งความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ที่ปรากฏกับทุกคนในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะ เช่น ขณะนี้เป็นธรรม ขณะที่เห็น มีธรรมไหม เคยขาดธรรมบ้างไหม ตั้งแต่เกิดมาขาดธรรมบ้างหรือเปล่า มีท่านผู้หนึ่งก็พยายามแสวงหาธรรม เพราะท่านยังไม่เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ท่านก็เดินทางไปเหนือ ไปใต้ ตะวันออก ตะวันตก หาไปท่านก็ยังไม่พบว่า ธรรมคืออะไร แต่เวลาที่ท่านเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร คือทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ท่านบอกว่าเพียงลืมตาตื่นก็พบธรรมแล้ว เพียงแต่ยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งความจริงของธรรม ซึ่งจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างจริงๆ

    ขอเชิญคุณเผชิญให้ความเห็นตอนนี้ด้วยนะคะ

    อ.ประเชิญ ได้ถามเรื่องท่านอุปติสสะ และท่านโกลิตตะรู้ธรรมจากท่านอัสสชิ ในคำพูดของอัสสชิก็จะมีว่า “ธรรมเกิดแต่เหตุ” ตอนนี้ท่านอาจารย์ก็จะพยายามให้เข้าใจคำว่า “ธรรม” เมื่อเข้าใจก็จะเข้าใจตรงนั้นได้ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย เมื่อถึงพร้อมด้วยเหตุแล้วธรรมเหล่านั้นก็เกิด ท่านได้ยกตัวอย่างเช่น เห็น สภาพเห็นเป็นจิต ไม่ใช่เรา จิตเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ จิตเกิดแต่เหตุ เพราะมีเหตุจิตจึงเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ที่ท่านอัสสชิได้แสดงธรรมของพระผู้มีพระภาค กล่าวว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ก็คือธรรมใด แม้ขณะนี้ก็มีธรรมใดเช่นเดียวกัน คือ เห็นเป็นธรรม เป็นสัจธรรม ได้ยิน ขณะนี้ได้ยิน ตรงนี้ก็เป็นธรรม เป็นความจริงก็เกิดแต่เหตุเช่นเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้เกิดแล้วก็ไม่สามารถบังคับบัญชา ไม่สามารถให้เป็นไปตามอำนาจหรือตามใจของใครได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีเจ้าของ ไม่สามารถบังคับบัญชาสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ก็มาตรงตอนที่ท่านพระสารีบุตรได้ฟังก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม รวมความว่าท่านได้ฟังธรรมสั้นๆ และก็สามารถเข้าใจอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือรู้ว่า สภาพธรรมต้องมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ลอยๆ เลย เช่น ถ้าเราเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็ทำให้เกิดความติดข้องยินดีพอใจ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ทำให้ขุ่นใจ ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ เป็นไปตามสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา ให้ได้ยินทางหู ให้ได้กลิ่นทางจมูก ให้ลิ้มรสทางลิ้น ให้กายกระทบสัมผัส แล้วก็ปรุงแต่งคิดนึกเป็นเรื่องต่างๆ แต่สภาพธรรมที่เป็นอริยสัจธรรมก็คือ สภาพธรรมที่เกิด ขณะนี้เกิดจึงได้ปรากฏแล้วดับไป ถ้าไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับก็ไม่ใช่ทุกขอริยสัจจะ เพราะเวลาพูดถึงอริยสัจ ๔ ทุกคนก็ทราบว่า อริยสัจที่ ๑ คือทุกข์ อริยสัจที่ ๒ คือ ทุกขสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจที่ ๓ คือ ทุกขนิโรธ การดับทุกข์ และอริยสัจที่ ๔ คือ หนทางปฏิบัติที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม คือ ทุกขนิโรธ การดับทุกข์ คามินีปฏิปทา หนทางที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ซึ่งขณะนี้ถ้ายังไม่ศึกษาธรรม เราก็เข้าใจทุกข์เพียงแค่เวลาป่วยไข้ และประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ นั่นคือความทุกข์ของเรา ซึ่งเคยคิดว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นทุกข์ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกข์ยิ่งกว่านั้น คือไม่ได้ตรัสรู้เพียงว่า ทุกขเวทนา หรือความรู้สึกเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจต่างๆ แต่ตรัสรู้ว่า สภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิด สภาพธรรมนั้นดับ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัวตน เราไม่สามารถยับยั้งให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดที่เกิดดำรงคงอยู่ได้ ขณะที่เห็นเป็นขณะเดียวกับขณะที่ได้ยินหรือเปล่า ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่าพร้อมกันเลย ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย แต่ถ้าคิดถึงขณะที่สั้นมาก เร็วมาก เช่น เห็นต้องอาศัยจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท จะไม่มีการเห็นเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ใครซึ่งไม่มีจักขุปสาท แล้วบอกว่าจะเห็น พยายามให้เห็น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด และเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดแล้วก็ดับ สลับกันรวดเร็วมากทีเดียว เช่น ทางตาไม่ใช่ทางหู จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตคิดนึก เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะมีจิตซึ่งเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ก็ไม่รู้จักทุกขอริยสัจจะ รู้จักแต่ทุกข์ที่เป็นทุกขเวทนา หรือความรู้สึกไม่พอใจเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องเริ่มศึกษาธรรมให้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นธรรมที่มีจริง ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น และที่จะเกิดธรรมหนึ่งธรรมใดได้ ก็เพราะเหตุว่าต้องมีเหตุปัจจัยเฉพาะสภาพธรรมนั้นๆ เช่น จิตเห็นก็จะต้องมีจักขุปสาท ไม่อย่างนั้นก็เห็นไม่ได้ จิตได้ยินก็ต้องมีโสตปสาท ถ้าไม่มีโสตปสาท จิตได้ยินก็มีไม่ได้ และวันหนึ่งๆ ตั้งแต่ลืมตาตื่นก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทางที่ทำให้เกิดเรื่องที่จะคิดนึกเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนจะย้อนไปคิดว่า สุขทุกข์ของทุกคนมาจากอะไร ก็ต้องมาจากเห็น มาจากได้ยิน มาจากได้กลิ่น มาจากลิ้มรส มาจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสปรุงแต่งให้คิดนึกเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ

    นี่คือชีวิต ซึ่งความจริงของชีวิตก็คือธรรม ทุกอย่างที่เป็นจริงเป็นธรรม และเมื่อใช้คำว่า “ธรรม” ก็แสดงอยู่ในตัวว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แต่เป็นสิ่งซึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ไม่ทราบตอนนี้ยังมีข้อสงสัยอะไรไหมคะ เพราะว่ากว่าจะถึงท่านพระสารีบุตรรู้แจ้งอริยสัจธรรม การที่จะเข้าใจอย่างนั้นได้ ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจว่า “ธรรม” คืออะไร และถ้าเป็นขณะนี้ ใครสะสมปัญญามาพอก็สามารถประจักษ์การเกิดดับ ทุกขอริยสัจจะอย่างท่านพระสารีบุตรได้ไหมคะ แต่ถ้ายังไม่ประจักษ์ก็จะต้องอบรมด้วยการฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ทราบว่า จะเกี่ยวข้องกับธรรมตรงจุดไหน ขอให้อธิบายให้รัดกุม และเป็นตัวอย่างให้ชัดด้วยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นตั้งแต่การเกิดใช่ไหมคะ ถ้ามีแต่รูป คือสภาพที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ก็ไม่มีชีวิต ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ทุกโลกเหมือนกันหมด คือมีสภาพที่มีจริง และสภาพที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่างใหญ่ คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งแม้มีจริง แต่ก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เช่น แข็ง แข็งไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่หิว ไม่ง่วง กลิ่นก็มีจริงๆ แต่ไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องแยกลักษณะของธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือเราจะเริ่มต้นตั้งแต่ ทุกอย่างเป็นธรรมก่อน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะในโลกนี้ หรือสากลโลก โลกไหนๆ ก็ตาม สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม แล้วธรรมก็ต่างกันไปเป็น ๒ ประเภท คือ ธรรมประเภทหนึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรได้เลย กลิ่น เสียง เป็นธรรมที่ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปะ หรือรูปธรรม หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เป็นประเภทของรูปธรรม คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย และจริงๆ แล้วที่เรามองหรือเข้าใจว่ามีโลกต่างๆ สิ่งใดก็ตามจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม อย่างเสียง มองไม่เห็น แต่เสียงมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นธรรมประเภทที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เราค่อยๆ คิด เราค่อยๆ เข้าใจ กลิ่นมีไหม กลิ่นมีจริง กลิ่นก็เป็นธรรม เป็นธรรมประเภทไหน ก็เป็นธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นประเภทรูปธรรม

    ถ้าเข้าใจรูปธรรมได้แล้ว ต่อไปก็จะเข้าใจสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงเหมือนกัน แต่ต่างกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เป็นสภาพที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ถ้ามีแต่เสียง เสียงในป่า หรือเสียงที่ไหนก็ตาม เวลาของแข็ง ๒ อย่างกระทบกัน เสียงเกิด แต่ถ้าไม่มีสภาพนามธรรม ธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถได้ยินหรือสามารถรู้เสียงนั้น เสียงนั้นก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ในห้องนี้มีเสียง แต่ก็ต้องมีสภาพรู้หรือธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียงด้วย เพราะฉะนั้น สภาพรู้หรือธาตุรู้ เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า “นามธรรม” นามะ หมายถึงสภาพที่รู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ น้อมไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ทางตา กำลังเห็น โต๊ะไม่มีจักขุปสาท ไม่มีธาตุรู้ โต๊ะเป็นรูปธาตุหรือรูปธรรม โต๊ะไม่เห็น แต่ขณะที่กำลังมีธาตุเห็น ซึ่งคนตายไม่เห็น แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้เห็น เพราะฉะนั้น สภาพที่เห็นมีจริงๆ แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น สภาพนั้นเป็นนามธรรม

    เพราะฉะนั้น เวลาที่จะพูดถึงเรื่องเกิด ถ้าไม่รู้ว่า อะไรเกิด ก็จะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ถ้าเข้าใจเรื่องนามธรรม และรูปธรรม ก็สามารถจะรู้ได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตที่เป็นสัตว์ เป็นบุคคลทั้งหมด ก็คือนามธรรม และรูปธรรมเกิด ถ้าเป็นต้นไม้ ภูเขาเกิดได้ แต่เป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น สำหรับสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่มีแต่เฉพาะรูปธรรม เท่านั้น มีนามธรรมด้วย เพราะฉะนั้น เวลาบอกว่า “เกิด” ต่อไปนี้เราก็สามารถเข้าใจได้มากกว่าจะไม่คิดเรื่องเกิดเลย ที่เคยเป็นเรา เป็นเขา เป็นใครเกิด ก็คือสภาพธรรมเกิด และต้องเป็นสภาพธรรม ๒ อย่าง คือ นามธรรม และรูปธรรมเกิดขึ้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕

    ท่านที่เคยไปวัดก็อาจจะชินกับคำว่า ขันธ์ ๕ แต่ท่านที่ยังไม่เคยฟังเรื่องขันธ์ ๕ เลยก็ไม่เป็นไร เพราะถึงแม้จะเคยได้ยินคำว่า อริยสัจธรรม โพธิปักขิยธรรม ปฏิจสมุปปาท หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดต้องเป็นธรรม แล้วก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ซึ่งจะละเอียดขึ้นๆ ๆ เรื่อยๆ แต่ก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ธรรมมี ๒ อย่าง คือ นามธรรม และรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น ตอนเกิดก็ไม่ใช่มีแต่รูปธรรมเท่านั้น แต่ต้องมีนามธรรมด้วย ถ้าศึกษาละเอียดต่อไปก็จะมีความวิจิตรของนามธรรม และรูปธรรมอีกมาก


    หมายเลข 1566
    29 ก.ค. 2567