การฟัง การคิดเป็นปริยัติ ไม่ใช่วิปัสสนาใช่หรือไม่
ผู้ฟัง การฟังก็ดี การคิดก็ดี เป็นปริยัติ เป็นปัจจัยแก่วิปัสสนา ฉะนั้นการพิจารณานามธรรม และรูปธรรม คงไม่ใช่เจริญวิปัสสนาถูกหรือไม่
ท่านอาจารย์ พิจารณานี่หมายความว่าอย่างไรคะ นี่เป็นเรื่องของคำอีกเหมือนกัน เพราะเหตุว่าพอใช้คำไหนก็มักจะคิดความหมายของคำนั้นตามที่เข้าใจ ก่อนที่จะเจริญสติปัฏฐาน พอใครพิจารณาก็เป็นเรื่องนึกยาว ใช่ไหมคะ เหมือนกับว่าคิดดีๆ นะ เรื่องนั้นเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นอย่างไร ลองพิจารณาคดีนี้ซิว่า คดีนี้ถูกหรือคดีนี้ผิด ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องยาว แต่ความจริงขณะใดที่สติระลึกได้ว่า มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นเป็นลักษณะของสติ ปัญญาเป็นสภาพรู้ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่สติระลึกว่า ลักษณะนั้นเป็นเพียงนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม จึงไม่ใช่ตัวตน แต่การที่รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ จะใช้คำไหนก็ได้ให้เป็นการรู้จริงๆ ได้ ไม่ใช่ว่าพอสติระลึกก็รู้ได้เลย ถ้าเป็นอย่างนั้น วันนี้ทุกคนเป็นพระอรหันต์หมด แต่อย่าลืมว่า อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่รู้ และอวิชชาไม่ใช่เพิ่งเกิดวันนี้ หรือชาตินี้ ในแสนโกฏิกัปป์ก็เหมือนกับชาตินี้ คือวิชชาเกิดน้อยมาก หรือเกือบจะไม่เกิดเลย แต่อวิชชาเกิดบ่อยๆ ถ้าจะเทียบแล้วอวิชชาก็เหมือนฟ้าจรดดินที่กั้นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะฉะนั้น การที่จะใช้คำว่า เมื่อสติระลึกแล้วพิจารณา หรือจะใช้คำว่า เมื่อสติระลึกแล้วสังเกต หรือจะใช้คำว่า เมื่อสติระลึกแล้วน้อมไปที่จะรู้ คือจะใช้คำไหนได้หมด เพราะขณะนั้นอย่างไรๆ ก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าอวิชชามีมากมายเหลือเกิน เกินกว่าว่าพอสติระลึกก็รู้ทันที แต่อาศัยการที่รู้ว่า จะต้องรู้โดยไม่ใช่คิด ก็ทำให้น้อมไปบ้าง นึกขึ้นมาบ้าง สังเกตบ้าง พิจารณาบ้าง ทำอะไรก็ได้โดยประการทั้งปวง ภาษาบาลีใช้คำว่า “โยนิโสมนสิการ” คือการพิจารณาโดยแยบคาย โดยแยบคายคือสามารถรู้โดยไม่ต้องคิด นั่นเป็นนามธรรม คืออาการรู้ และนั่นเป็นรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้
ก่อนที่จะอ่านหนังสือได้ ก็ต้องเหมือนกันหมด คือต้องพิจารณาตัวหนังสือทีละตัว จนกว่าจะจำได้จนกว่าจะรู้ ฉันใด เมื่อสติเกิด ยังไม่รู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม แต่ในขณะนั้นผู้ที่ตรัสรู้แล้วรู้ว่า รูปธรรมมี นามธรรมมีในขณะนั้น อวิชชาที่เหมือนฟ้าจรดดินกั้นไว้ไม่ให้รู้ความจริง ฉะนั้น จึงต้องระลึก แล้วรู้ว่าใครจะทำอะไรที่จะอธิบายมาเป็นคำพูดว่า สังเกต หรือพิจารณา หรือน้อมไป หรืออะไรก็ได้ จนกว่าจะรู้ โดยไม่ใช่คิด
ผู้ฟัง อย่างเรามีความรู้สึกว่า ตัวเองกำลังนั่ง แล้วที่เรียกว่ารู้สึกคือรูปนั่ง ถูกหรือผิดคะ
ท่านอาจารย์ ถูกหรือผิดนี่ ต้องถูกตามสภาพธรรมหรือผิดตามสภาพธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีสภาพธรรม แต่เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรม
ขณะที่เห็น อะไรปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ขณะที่ได้ยิน อะไรปรากฏ อะไรที่ได้กลิ่น อะไรปรากฏ ขณะที่ลิ้มรส อะไรปรากฏ ขณะที่กระทบสัมผัสกาย อะไรปรากฏ ขณะนี้ท่านผู้ฟังลืมว่า ยังมีอีกทวารหนึ่ง คือทางใจรับรู้ต่อจากทางตาที่เห็น ไม่ว่าตาเห็นอะไร ถ้าเห็นสิ่งนี้ คิดถึงสิ่งนี้ ใช่ไหมคะ ถ้าเห็นสิ่งนี้ จะไม่คิดถึงสิ่งอื่น แต่จะคิดถึงสิ่งนี้ ในขณะที่คิดคือขณะที่จิตรู้อารมณ์ทางมโนทวารต่อจากทางตาที่เห็น
นี่คือการรู้อารมณ์ทางมโนทวาร ท่านที่ศึกษาพระอภิธรรมจะทราบได้ว่า มโนทวารวิถีจิต คือ จิตที่นึกขึ้นทางใจเกิดต่อจากทางตา เกิดต่อจากทางหู เกิดต่อจากทางจมูก เกิดต่อจากทางลิ้น เกิดต่อจากทางกาย โดยไม่มีใครยับยั้งได้ ไม่มีวิถีจิตที่เห็นแล้วทางใจจะไม่เกิดขึ้นรู้ต่อ ไม่มีวิถีจิตที่ได้ยินเสียงทางหูแล้วทางใจจะไม่เกิดขึ้นรู้เสียงนั้นต่อ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่กำลังมีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง จะมีจิตทางใจเกิดขึ้นสลับคั่นกับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น ทางใจกำลังรู้ต่อ ขณะที่กระทบสัมผัสที่เรียกว่ากาย อ่อนหรือแข็ง ตรงหนึ่งตรงใด ส่วนหนึ่งส่วนใดเท่านั้นที่ยังไม่ดับที่กำลังเป็นอารมณ์ ขณะนั้นจะมีรูปมากไหม
ผู้ฟัง ถ้าเผื่อเราไม่ได้กำหนดตรงสภาพที่ร่างกายกำลังกระทบกับพื้น แต่เรารู้สึกตัวว่า กำลังนั่ง แล้วนึกถึงในสติปัฏฐานสูตรว่า รู้ตัวว่า เรายืน เราเดิน เรานอน
ท่านอาจารย์ อย่าลืมว่า รู้ตัวก็คือมหาภูตรูป แล้วมหาภูตรูปจะปรากฏเมื่อไร ทางตา มหาภูตรูปปรากฏไม่ได้ ทางกายเท่านั้น เพราะฉะนั้น มหาภูตรูปจะมาปรากฏทางใจให้เป็นท่าเป็นทางไม่ได้เลย
ผู้ฟัง ขณะนอน ยืน นั่ง นอน ก็รู้ว่าขณะที่เรายืน เดิน นั่ง นอนนั้นหมายความว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ พิสูจน์ธรรมในขณะนี้ ทุกท่านกำลังนั่ง กายมีไหมคะ มี เห็นมีไหมคะ มี ได้ยินมีไหมคะ คิดนึกมีไหมคะ มี เพราะฉะนั้น แล้วแต่สติปัฏฐานมี ๔ จึงเป็นมหาสติปัฏฐาน จะไม่ทิ้งคำว่า มหาเลย เพราะสติเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับสติว่า ให้รู้อยู่ที่กายเท่านั้น ให้รู้อยู่ที่หูเท่านั้น หรือให้รู้อยู่ที่ตาเท่านั้น
เพราะฉะนั้น จึงแล้วแต่ว่า แม้ในขณะที่นั่ง สติจะระลึกที่กายก็ได้ แต่ต้องระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ มีลักษณะที่ปรากฏจริงๆ ให้รู้ ไม่ใช่นึกเป็นท่า เป็นทาง นี่คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในขณะที่กำลังนั่งฉันใด ในขณะที่กำลังยืนก็เช่นเดียวกัน กำลังยืนจะระลึกทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ ทางจมูกก็ได้ ทางลิ้นก็ได้ ทางกายก็ได้ คือ สภาพธรรมใดปรากฏที่กายในขณะที่ยืน ต้องมีลักษณะจริงๆ ปรากฏ จึงสามารถประจักษ์ในการเกิดดับของรูปซึ่งปรากฏแล้วยังไม่ดับ เมื่อประจักษ์จริงๆ รูปนั้นเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน แต่ไปใช่การไปนึกว่า มีสภาพธรรมอื่น โดยไม่มีลักษณะทุกบรรพ แม้แต่อานาปานบรรพ ลมหายใจ จะทำอย่างไร ท่าไหนของลมหายใจ ถ้าจะเป็นท่าทาง หรือว่าลมหายใจมีลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ชื่อ แต่จะไม่พ้นจากมหาภูตรูป หรือแม้แต่ปฏิกูลมนสิการบรรพ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ต้องมีลักษณะของรูปที่ปรากฏแต่ละทาง แต่ละขณะให้พิจารณา ในขณะที่กระทบผม ในขณะที่ได้กลิ่นผม ในขณะที่กำลังกระทบเล็บต่างๆ เหล่านี้ ต้องมีลักษณะของปรมัตถธรรมที่ปรากฏจริงๆ แต่ละทาง ไม่ใช่ไปนึกเป็นรูปเล็บขึ้นมา เพราะเหตุว่าปฏิกูลมนสิการบรรพไม่ใช่ไปนึกให้เป็นรูปผมขึ้นมา เพราะเหตุว่าเป็นปฏิกูลมนสิการบรรพ แต่ถ้าเป็นโดยนัยของสติปัฏฐานแล้ว ต้องมีลักษณะของปรมัตถธรรมปรากฏทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร แต่ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ขณะนั้นจิตตานุปัสสนาไม่ใช่เรา เป็นสภาพคิด จึงไม่ใช่เราที่กำลังคิด
ผู้ฟัง อย่างตับ หัวใจ ไต เราไม่สามารถจะเห็นได้ หรือกระทบตา ถ้าไม่คิดนึกแล้วจะทำอย่างไร
ท่านอาจารย์ คงจะมีตับ ไตที่ไม่ใช่ของเราปรากฏ นักเรียนแพทย์ หรือในสมัยนี้ การผ่าตัดก็มีกระจกให้เห็นก็ได้ มีโทรทัศน์ให้เห็นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ต้องเป็นผู้ข้องใจสงสัยในลักษณะใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าจะต้องระลึกลักษณะของสภาพธรรมเฉพาะที่กำลังปรากฏ ที่ไม่ปรากฏก็ตัดไปได้เลย
ผู้ฟัง ในสติปัฏฐาน ๔ ถ้ามีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น เมื่อนั้นจึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ถ้านึกคิด ก็ไม่เข้าใจสติปัฏฐาน ๔ ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ คำถามนี้เป็นหัวใจของสติปัฏฐาน คือ ถ้าสภาพธรรมใดปรากฏ จึงเป็นสติปัฏฐาน สภาพธรรมใดแม้มี แต่ไม่ปรากฏ ก็ไม่ใช่สติปัฏฐาน จิตเกิดดับเร็วมาก ใครจะประจักษ์หรือไม่ประจักษ์ พระผู้มีพระภาคหรือพระสาวกที่ประจักษ์ ประจักษ์เช่นเดียวกันว่า จิตเป็นสภาพที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว รูปก็เป็นสภาพที่เกิดดับอย่างรวดเร็วมาก พิจารณาตามความเป็นจริง ทุกคนที่กำลังนั่งในขณะนี้ ให้คิดถึงรูปว่า สามารถจะแตกย่อยรูปที่กำลังประชุมรวมกันออกเป็นส่วนย่อยที่เล็กที่สุดได้ไหม ยังไม่ต้องไปแตกย่อย ให้คิดเพียงว่า รูปที่ดูเป็นก้อนแท่งทึบใหญ่ สามารถแตกย่อยออกเป็นส่วนที่เล็กที่สุดได้ไหม ได้ เพราะว่าตามความจริงแล้วมีอากาศธาตุคือช่องว่างคั่นอยู่ทุกกลุ่มที่เล็กที่สุด ที่เราคิดว่า เป็นรูปแท่งทึบของเรา แท้ที่จริงก็เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กมากแต่ละกลุ่มซึ่งมีอากาศธาตุคั่นอยู่ พร้อมจะแตกย่อยทำลายได้จนละเอียดที่สุด เพราะว่าอากาศธาตุนั่นเองคั่นอยู่ และแต่ละกลุ่มเกิดดับทยอยกัน ไม่ใช่ดับพร้อมกันไปหมดทีเดียว แต่ว่าถึงแม้จะเกิดดับทยอยกันเพียงใดก็ตาม การเกิดดับใน ๑๗ ขณะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
เพราะฉะนั้น แม้ว่าเราเคยจำได้ว่า เรามีตา มีหู มีศีรษะ มีเท้า มีมือ แต่ว่าตามความเป็นจริงรูปเหล่านั้นทั้งหมดเกิดดับอย่างรวดเร็ว ขณะใดที่ไม่ปรากฏ ขณะนั้นรูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว อย่าลืมนะคะ ขณะใดที่รูปส่วนใดของกายไม่ปรากฏ ขณะนั้นรูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว เพราะว่าใน ๑๗ ขณะเกิดดับเร็วมาก
ด้วยเหตุนี้แต่ละท่านหนักกันคนละเท่าไรคะ หลายกิโลใช่ไหมคะ เมื่อแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ศีรษะหนักกี่กิโล แขนหนักกี่กิโล ขาหนักกี่กิโล ทำไมไม่รู้สึกหนักอย่างนั้น ตั้งหลายกิโล เพราะเหตุว่ารูปประกอบด้วยกลุ่มของรูปที่ละเอียด ที่มีอากาศธาตุ และเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ไม่ถูกต้องศีรษะ รูปส่วนอื่นที่ไม่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้ว แม้รูปที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์กระทบขณะนั้น ก็กำลังเกิดดับ แต่เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีกอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ดูเหมือนกับว่า ส่วนที่ปรากฏนั้นไม่ดับ แต่ถ้าปัญญาเจริญขึ้น สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของรูปที่กำลังเกิดดับในขณะนั้นได้ จึงจะประจักษ์ตามความเป็นจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง “ไม่เที่ยง” ไม่ใช่หมายความว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่าไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยง หรือไม่เที่ยงเพราะว่าเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เพราะฉะนั้น รูปเด็กหายไปก็ไม่เที่ยง แต่ไม่เที่ยงซึ่งเป็นการประจักษ์แจ้ง คือ รูปที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์นั้นเองดับ แล้วเกิด แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ จึงประจักษ์แจ้งในความไม่เที่ยง จึงเป็นอนัตตา และไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น อย่าลืมที่คิดว่าเป็นเรากำลังนั่งอยู่ กำลังเกิดดับทั้งหมด ส่วนใดที่ปรากฏ เฉพาะส่วนนั้นเท่านั้นที่ยังไม่ดับ จึงปรากฏ แต่ก็ดับทันทีที่ปรากฏ แล้วก็เกิดต่ออย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตาม นามใดก็ตาม ที่ไม่เป็นอารมณ์ รูปที่ไม่ปรากฏนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน
ผู้ฟัง ที่รูปเกิดดับ จะรู้ได้เวลาไหนครับ
ท่านอาจารย์ วิชชาหรือปัญญาเป็นสภาพที่สามารถรู้ของจริง หรือสัจธรรมได้ แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น จากความเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วยอวิชชา ต้องเป็นผู้ที่ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นที่ประจักษ์แจ้งความเกิดดับได้ จึงจะเป็นพระอริยบุคคลได้
ผู้ฟัง สำหรับคำถามข้อสุดท้ายของพระครูสังวรญาณนั้น ท่านสรุปวิธีปฏิบัติของท่านนั้นว่า การปฏิบัติวิปัสสนานั้นไม่มีกำหนดเวลา สถานที่ หรือพิธีรีตองอะไรๆ คือ ให้มีสติสัมปชัญญะรู้แจ้งในชีวิตประจำวัน คือรู้แจ้งในอารมณ์ที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ไม่ปรุงแต่งไม่ยึดมั่นถือมั่น พยายามปล่อยวาง พยายามทำเป็นประจำวัน ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร จะนั่ง จะนอน ยืน เดิน แต่โมหะหลงลืมก็มีอยู่บ้าง อาตมาปฏิบัติเป็นประจำวัน ดังนี้ อาจารย์คิดแล้วจะมีการแนะนำเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์ มีวิธีเดียว คือ วิธีนี้เจ้าค่ะ ไม่มีวิธีอื่น
ผู้ฟัง รูปแต่ละรูปหมายความว่าละเอียดมาก ที่เรียกว่า อณู ที่บางท่านเทียบว่าเหมือน ๑ ในล้านของข้าวสาร ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ เสียงไม่มีใครวัดอย่างนั้นใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น รูปแต่ละรูปที่ปรากฏก็ปรากฏตามความเป็นจริง แต่ขาดตอนจากกันเพราะมโนทวารปรากฏ ขณะนี้มโนทวารไม่ได้ปรากฏ ก็ไม่ได้ขาดตอน ใช่ไหมคะ ทางตาก็ต่อกับทางหู เพราะมโนทวารไม่ได้ปรากฏ ต่อเมื่อใดมโนทวารปรากฏ ความขาดตอนของแต่ละทวารจึงปรากฏ
ผู้ฟัง มีคำถามว่า มีวิธีจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องในการเจริญวิปัสสนา
ท่านอาจารย์ ถามแต่วิธี ไม่ได้ถามว่า ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจขึ้น แล้วต้องการอะไร ต้องการวิธีทำ หรือต้องการเข้าใจขึ้นอีก เข้าใจละเอียดขึ้นอีก เข้าใจถูกขึ้นอีก จนกระทั่งปฏิบัติไม่ผิด
นี่คือการสังเกตคำถามว่า คำถามแต่ละคำถามมาจากจิตประเภทใด มาจากความเข้าใจถูกหรือความเข้าใจผิดขั้นไหน หรือต้องมีความต้องการแฝงอยู่ ถ้าถามว่า ทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร นั่นให้ทราบว่า ไม่ใช่ต้องการปัญญาเลย แต่ต้องการจะทำ ซึ่งตรงกันข้าม วิปัสสนาเป็นการอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นของการฟัง เมื่อฟังแล้ว เข้าใจบ้างแล้ว สติระลึกบ้างแล้ว ยังไม่พอ ถ้าพอ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ซึ่งเมื่อรวบรวมจำแนกแล้ว ก็เป็นพระวินัยปิฎกส่วนหนึ่ง พระสุตตันตปิฎกส่วนหนึ่ง พระอภิธรรมปิฎกส่วนหนึ่ง ไม่ใช่สำหรับผู้ฟังสั้นๆ แล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่สำหรับผู้ที่แม้ฟังมาก ก็ยังไม่บรรลุ ยังต้องพิจารณามาก ปฏิบัติมาก ต่อๆ ไปด้วย
เพราะฉะนั้น ก็ควรระลึกว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น สติซึ่งเป็นอนัตตาก็มีปัจจัยที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เข้าใจเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงทรงจำแนกสภาพธรรมออกเป็นนามธรรม และรูปธรรม และทรงจำแนกนามธรรมออกเป็นปรมัตถธรรม ๓ คือ จิต เจตสิก รูป และจำแนกปรมัตถธรรมที่เป็นสังขารธรรมที่เกิดดับออกเป็นขันธ์ ๕ และจำแนกออกเป็นอายตนะ และจำแนกออกเป็นธาตุ และจำแนกออกเป็นอินทรีย์ เพื่อให้เห็นว่า ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างต่างกันไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามกิจการงานหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ จนกว่าปัญญาจะไปน้อมไปที่จะรู้ว่า เป็นอนัตตาแน่ๆ แต่เมื่อสติเกิด ก็จะต้องอาศัยการฟังแล้วเข้าใจ จนกว่าจะรู้ชัดโดยวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นว่า ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น ก็มีทางเดียวอีกเหมือนกัน คือ ฟังต่อไป เพราะไม่สามารถบังคับสติได้ แต่เมื่อฟังบ่อยๆ ก็เป็นสัญญาความจำที่มั่นคงที่ให้สติเกิด