เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกี่ยวข้องกับธรรมตรงจุดไหน


    ผู้ฟัง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องกับธรรมตรงจุดไหน ขอให้อธิบายให้รัดกุม และยกตัวอย่างให้ชัดเจนด้วย

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นตั้งแต่การเกิดใช่ไหม ถ้ามีแต่รูป คือสภาพที่มีจริง แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ก็ไม่มีชีวิต ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ทุกโลกเหมือนกันหมด คือมีสภาพที่มีจริง และสภาพที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่างใหญ่ๆ ๒ ประเภทใหญ่ คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งแม้ว่ามีจริง แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เช่น แข็ง แข็งไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่หิว ไม่ง่วง กลิ่นก็มีจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็ต้องแยกลักษณะของธรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เราต้องเริ่มตั้งแต่ทุกอย่างเป็นธรรมก่อน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าในโลกนี้ หรือสากลโลก โลกไหนๆ ก็ตาม สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม ๒ ประเภท คือ ธรรมประเภทหนึ่งเกิดขึ้น แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย กลิ่น เสียงเป็นธรรม ที่ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปะ หรือรูปธรรม หมายถึงสิ่งที่มีจริงแต่เป็นประเภทของรูปธรรม คือไม่สามารถรู้อะไรได้เลย แล้วจริงๆ แล้วที่เรามองว่ามีโลกต่างๆ สิ่งใดก็ตามจะมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตาม อย่างเสียงมองไม่เห็น แต่เสียงมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นธรรมที่ไม่สามารถรู้อะไรได้

    เราค่อยๆ คิด เราก็ค่อยๆ เข้าใจ กลิ่นมีไหม กลิ่นมีจริง กลิ่นก็เป็นธรรม ธรรมประเภทไหน ก็เป็นธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นประเภทรูปธรรม ถ้าเข้าใจรูปธรรมแล้ว ต่อไปก็จะเข้าใจธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีจริงเหมือนกัน แต่ต่างกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เป็นสภาพที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ถ้ามีแต่เสียง เสียงในป่า หรือเสียงที่ใดก็ตาม เวลาของแข็ง ๒ อย่างกระทบกันเสียงเกิด แต่ถ้าไม่มีสภาพนามธรรม ธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถได้ยิน หรือสามารถรู้เสียงนั้น เสียงนั้นก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ในห้องนี้มีเสียง แต่ก็มีธาตุรู้หรือสภาพรู้ที่กำลังได้ยินเสียงด้วย เพราะฉะนั้น สภาพรู้หรือธาตุรู้เป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งทางธรรมใช้คำว่า “นามธรรม” สภาพที่รู้ เกิดขึ้นต้องรู้ น้อมไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นทางตา กำลังเห็น โต๊ะไม่มีจักขุปสาท ไม่มีธาตุรู้ โต๊ะเป็นรูปธาตุหรือรูปธรรม โต๊ะไม่เห็น แต่ขณะที่กำลังมีธาตุเห็นซึ่งคนตายไม่เห็น คนที่มีชีวิตในขณะนี้เห็น สภาพที่เห็นมีจริงๆ แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น สภาพนั้นเป็นนามธรรม

    เพราะฉะนั้น เวลาจะพูดถึงเรื่องเกิด ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเกิด ขณะนั้นก็จะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ถ้าเข้าใจเรื่องนามธรรม และรูปธรรมก็สามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตที่เป็นสัตว์ บุคคลก็คือนามธรรม และรูปธรรมเกิด ถ้าเป็นต้นไม้ ภูเขา เป็นหิน แต่ว่าเป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น สำหรับสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่มีแต่เฉพาะรูปธรรมเท่านั้น มีนามธรรมด้วย เพราะฉะนั้น เวลาบอกว่าเกิด ต่อไปนี้สามารถเข้าใจได้มากกว่าที่จะไม่คิดเรื่องเกิดเลย ที่เคยเป็นเรา เป็นเขา เป็นใครเกิดก็คือสภาพธรรมเกิด แต่ก็เป็นสภาพธรรม ๒ อย่าง คือ นามธรรม และรูปธรรมเกิดขึ้น ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ท่านที่เคยไปวัดก็อาจจะชินกับคำว่า ขันธ์ ๕ ถ้าไม่เคยก็ไม่เป็นไร ถึงแม้จะได้ยินคำว่า อริยสัจธรรม โพธิปักขิยธรรม ปฏิจจสมุปบาท หรืออะไรก็แล้วแต่ ทั้งหมดต้องเป็นธรรม แล้วก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ซึ่งจะละเอียดขึ้นๆ เรื่อยๆ แต่ก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ธรรมมี ๒ อย่าง คือ นามธรรม และรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น ตอนเกิดก็ไม่ใช่มีแต่รูปธรรมเท่านั้น แต่ต้องมีนามธรรมด้วย แต่ถ้าศึกษาละเอียดต่อๆ ไป ก็มีความวิจิตรของนามธรรม และรูปธรรมอีกมาก

    ก็คงตอบสั้นๆ ว่า แก่ก็ไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป ตายก็คือไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป ขณะนี้มีอะไรที่พ้นจากจิต เจตสิก รูปบ้างไหมคะ ที่เป็นปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง ต่อไปนี้ก็คงไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน ใช่ไหมคะ ขณะนี้ก็เป็นธรรม จะตื่น จะหลับก็เป็นธรรมทั้งหมด


    หมายเลข 1957
    24 ก.ย. 2567