ทุกคนมีโลกความคิดคนละใบ
พระธรรมเกื้อกูล เกื้อกูลมากทีเดียวคะ ทำให้เราสามารถที่จะมีแสงสว่าง คือมองเห็นทุกสิ่งถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ขณะใดเป็นกุศลจิต ขณะใดเป็นอกุศลจิต แม้เพียงจากคำพูด หรือการกระทำของเราเอง คือ ส่วนใหญ่เราไม่จำเป็นที่จะไปดูคนอื่นหรือคิดถึงคนอื่น เพราะแท้ที่จริงแล้วโลกคนละใบ เวลาที่เรากำลังคิดถึงเรื่องราวคนอื่น ไม่มีคนนั้นเลย โลกนี้ต่างหากที่กำลังคิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ถ้าจิตคิดไม่มี เรื่องนั้นก็ไม่มี คนนั้นก็ไม่มี เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงรูปนามเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เราเอาชื่อไปติดที่นามรูป เป็นประเภทๆ เป็นชุดๆ ไปว่า นามรูปนี้ชื่อนั้น นามรูปนั้นชื่อนี้ แต่จริงๆ แล้วไม่มี เป็นแต่เพียงรูปธรรมนามธรรมซึ่งเกิดดับไปเรื่อยๆ แล้วเราก็สมมติเรียก แต่ว่าความทรงจำของเราซึ่งยึดถือความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็ทำให้จิตของเราหวั่นไหวไปด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามซึ่งไปคิดถึงใคร ไม่ว่าคิดด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิตให้ทราบว่า ขณะนั้นเป็นเพียงความคิด ไม่มีใครเลย ทุกคนอยู่คนเดียวในโลกจริงๆ โลกของตัวเอง ซึ่งแล้วแต่ใครจะคิด แล้วแต่จะเห็น แล้วแต่จะได้ยิน แล้วจริงๆ แล้วตัวคนนั้นก็ไม่มีด้วยคะ เป็นเพียงจิตชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้นคำอุปมาที่ว่า การขัดเกลากิเลสเหมือนการจับด้ามมีดจนกว่าด้ามมีดจะสึก ไม่ใช่เพียงแค่สึกนะคะ หมดเลยไม่เหลือ คือการยึดถือว่า เป็นตัวตน ต้องรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ไม่มีสิ่งใดเลยซึ่งเป็นของเรา ไม่มีสิ่งใดเลยซึ่งเป็นเรา เพราะเหตุว่าการที่เราจะยึดถือยึดถือโดย ๓ ลักษณะ คือ ยึดถือโดยเป็นตัวตนของเรา ด้วยทิฏฐิ ยึดถือด้วยความเป็นของเรา ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยความเป็นตัวเราด้วยความสำคัญตน ด้วยมานะ นี่เป็นเครื่องเน้นช้า