พระมหาสัตว์ทรงจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต
พระโพธิสัตว์เมื่อทรงสำรวจดูโอกาส คือ ประเทศ หรือสถานที่ที่จะทรงบังเกิด ก็ทรงดำริว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบังเกิดที่มัชฌิมประเทศ จึงตกลงพระหฤทัยว่า จะพึงบังเกิด ณ นครกบิลพัสดุ์
จากนั้นเมื่อทรงพิจารณาดูตระกูล ก็ทรงเห็นว่าธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงบังเกิดในตระกูลแพศย์หรือตระกูลศูทร แต่ทรงบังเกิดในตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์ ที่โลกสมมติ คือ แล้วแต่ว่าในกาลนั้นจะสมมติว่ากษัตริย์เป็นใหญ่กว่าพราหมณ์ หรือว่าพราหมณ์เป็นใหญ่กว่ากษัตริย์ ในกาลนั้นตระกูลกษัตริย์ โลกสมมติคือเป็นใหญ่ พระโพธิสัตว์จึงตกลงพระหฤทัยว่า จะทรงบังเกิดในตระกูลที่พระเจ้าสุทโธทนะจักเป็นพระชนกของพระองค์
การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพร้อมทุกอย่าง แม้ทวีปที่จะทรงบังเกิด ประเทศที่จะทรงบังเกิด ตระกูลที่จะทรงบังเกิด จากนั้นยังต้องพิจารณาต่อไป
จากนั้นเมื่อทรงพิจารณาดูพระชนนี ก็ทรงเห็นว่า ธรรมดาพระพุทธมารดา มิใช่เป็นสตรีโลเล นักเลงสุรา แต่บำเพ็ญบารมีแสนกัป มีศีลไม่ขาดมาแต่เกิด ก็พระเทวีพระนามว่า พระนางมหามายา พระองค์นี้เป็นเช่นนี้ พระนางจักเป็นชนนีของพระองค์ และพระชนมายุของพระนาง จะดำรงอยู่อีก ๑๐ เดือน กับ ๗ วัน
พระมหาสัตว์ทรงจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต และทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายา โดยดาวนักกษัตรอุตตราสาธะ บางแห่งก็เป็น อุตตรสาฬหะ
การประทับในครรภ์พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ก็ย่อมต่างกับบุคคลทั่วไป คือ มีเทพอารักขาเพื่อป้องกันภัยแก่พระโพธิสัตว์ และพระชนนี ความพึงพอใจด้วยอำนาจกิเลสในบุรุษทั้งหลายไม่มีแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระชนนีทรงประสบลาภอย่างเลิศ ยศอย่างเลิศ มีสุข พระวรกายไม่ลำบาก พระชนนีแลเห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ของพระนางเอง เหมือนด้ายขาวร้อยแก้วมณีอันใสฉะนั้น และเพราะเหตุที่พระครรภ์ที่พระโพธิสัตว์อยู่ ก็เป็นเสมือนห้องพระเจดีย์ สัตว์อื่นไม่อาจอยู่หรือใช้สอยได้ ฉะนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน จึงทรงทำกาละ คือ สิ้นพระชนม์ บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ก็สตรีอื่นๆ ถึง ๑๐ เดือนก็มี เกินก็มี นั่งคลอดบ้าง นอนคลอดบ้าง ฉันใด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเป็นฉันนั้นไม่ แต่พระมารดาของพระโพธิสัตว์บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ ๑๐ เดือน แล้วทรงยืนประสูติ นี่เป็นธรรมดาของพระมารดาของพระโพธิสัตว์