ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส
ข้อความต่อไปมีว่า
ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ก็เอาผ้าขนสัตว์ที่มีสัมผัสอันสบายซึ่ง สมมติกันว่าเป็นมงคล รับจากพระหัตถ์ของท้าวมหาพรหม ซึ่งยืนรับพระโพธิสัตว์นั้นไว้ด้วยข่ายทอง พวกมนุษย์ก็เอาเบาะผ้าเนื้อดีรับจากพระหัตถ์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น พระโพธิสัตว์พ้นจากมือมนุษย์ ก็ยืนที่แผ่นดิน มองดูทิศบูรพา เทวดา และมนุษย์ในที่นั้นก็ทูลว่า
ข้าแต่มหาบุรุษ ผู้ที่เสมือนกับพระองค์ในที่นี้ไม่มี ผู้ที่จะยิ่งกว่าจะมีแต่ที่ไหน
พระโพธิสัตว์ทรงเหลียวดูทิศทั้ง ๑๐ ทิศ ไม่เห็นผู้ที่เสมือนกับพระองค์ จึงบ่ายพระพักตร์สู่ทิศอุดร ทรงดำเนินไป ๗ ก้าว และเมื่อดำเนินไป ก็ดำเนินไปบนแผ่นดินนั่นแหละ มิใช่ดำเนินไปในอากาศ
ข้อความในอรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์วงศ์ พระโคตมพุทธเจ้า ที่ ๒๕ มีว่า แต่ปรากฏแก่มหาชนเหมือนดำเนินไปทางอากาศ เหมือนประดับตกแต่งพระองค์ และเหมือนมีอายุ ๑๖ ขวบ แต่นั้นย่างก้าวที่ ๗ ก็ทรงหยุด เมื่อทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส ดังนี้เป็นต้น
ทรงเปล่งสีหนาท
ในสมัยที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ณ ลุมพินีวันนั้น พระเทวีมารดาพระราหุล คือ พระนางยโสธราพิมพา ท่านพระอานนท์ ท่านพระฉันนะ ท่านกาฬุทายีอำมาตย์ พระยาม้ากัณฐกะ ต้นมหาโพธิพฤกษ์ และหม้อขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ก็เกิด เหล่านี้ชื่อว่า สหชาติทั้ง ๗
ครั้งนั้น ในวันที่ ๕ พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามพระโพธิสัตว์ว่า "สิทธัตถะ" เพราะทรงทำความสำเร็จประโยชน์แก่โลกทั้งปวง
พระราชาพระราชทานพระพี่เลี้ยงนางนม ๖๔ นาง ผู้ปราศจากโรคทุกอย่าง ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอย่างยิ่งแด่พระมหาบุรุษ พระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยด้วยบริวารไม่มีที่สุด ด้วยพระสิริยยศใหญ่ยิ่ง