การศึกษาเรื่องชาติของจิตเพื่อให้รู้ว่าไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ ไม่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราในขั้นฟัง แต่จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะประจักษ์ลักษณะนั้นจริงๆ เช่น เหตุ เป็นปรมัตถธรรมอะไร เหตุ ๖ บอกเหตุ ๖ ก็ต้องเป็นเจตสิก ๖ เราจะเห็นได้ว่าขณะนี้เองมีจิตทั้งที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเลย และมีจิตที่ประกอบด้วยเหตุ เกิดสืบต่อกันอย่างเร็ว จนกระทั่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่าขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ ขณะที่ไม่ใช่ภวังคจิต จิตวิถีจิตแรกไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย ปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ทางตาจักขุวิญญาณ จิตเกิด มีเหตุเกิดร่วมด้วย
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจ แต่ไม่ใช่ไปจำ เมื่อจักขุวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนะเกิด มีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี เมื่อสัมปฏิจฉันนะดับ สันตีรณะเกิด มีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าปัญจทวาราวัชชนจิต หรือว่าจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ จะเกิดเมื่อไร ที่ไหน ภพไหน กับใคร ต้องเป็นจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย แล้วพอถึงเมื่อสันตีรณะดับแล้ว โวฏฐัพพนะเกิดขึ้นมีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่เปลี่ยนชาติ ปัญจทวาราวัชชนจิต ขณะแรกเป็นชาติกิริยา ภวังค์เป็นชาติวิบาก แล้วก็กิริยาจิตเกิดแล้วก็ดับ พอถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะที่เกิดต่อ ก็ยังคงเป็นวิบากอยู่ เป็นผลของกรรมที่ทำให้จิตต้องเกิดสืบต่อจากปัญจวิญญาณ พอถึงโวฏฐัพพนะ เปลี่ยนชาติอีกแล้ว เป็นกิริยา แล้วก็ดับไป ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ตั้งแต่ปัญญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ แต่หลังจากนั้นแล้ว มีเหตุเกิดร่วมด้วย แสดงความรวดเร็วว่าจิตที่เราไม่เคยรู้เลย แล้วก็เคยเป็นเรามาตลอด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ก็เป็นเรา ด้วยความไม่รู้ จริงๆ แล้วผู้ที่ได้ทรงประจักษ์แจ้งสภาพธรรม ก็ทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้เราเห็นความเป็นอนัตตา ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้เลยสักขณะเดียว แม้แต่จะเปลี่ยนชาติของจิตก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ให้มีเหตุเกิดร่วมด้วยก็ไม่ได้ ถ้าจิตนั้นไม่มีปัจจัยที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย เช่นนี้เราก็จะเข้าใจว่าวันหนึ่งๆ เกิดมา ก็เป็นผลตั้งแต่ปฏิสนธิ และเวลาที่เกิดมาแล้วก็ยังมีผลของกรรม ที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หลังจากนั้นแล้ว กุศล หรืออกุศล นี้เป็นสิ่งที่เราจะรู้จักตัวเราขึ้น ว่าขณะไหนเป็นผลของกรรม แล้วก็ขณะไหนเป็นเหตุใหม่ ที่จะทำให้สะสมเป็นกรรมที่จะทำให้ผล ที่เป็นวิบากเกิดขึ้น ไม่มีเราเลยสักขณะเดียว เ พราะฉะนั้นการศึกษาเรื่องชาติ ก็เพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีเรา แต่ว่าจิตชาติต่างๆ ก็เกิดสลับกัน จากวิบาก เป็นภวังค์ ก็เป็นกิริยาจิต ที่เป็นปัญจทวาราวัชชนะ และก็เป็นวิบากที่เป็นจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ พอถึงโวฏฐัพพนะ ก็เป็นกิริยาอีก และหลังจากนั้นก็เป็นกุศล และอกุศล ยับยั้งไม่ได้เลย นี่คือชีวิตในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ก็มีปัจจัยที่ทำให้เกิด และเราก็เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นบุคคลต่างๆ แต่ความจริงก็คือจิตประเภทต่างๆ นั่นเอง