ขณะที่คิดธรรม เพราะปรุงแต่งจากการฟัง
จะเห็นได้ว่าปัญญา หรือความรู้ความเข้าใจ ต้องมี ๓ ระดับ ถ้าเราไม่เคยฟังมาเลย เราจะไม่ได้ยินหรือแม้แต่เจตสิกเราก็ไม่รู้ รูปเราก็ไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้วก็เกิดดับ เพราะฉะนั้น จากการฟังมากๆ บ่อยๆ ความจริงจากการฟังที่ได้เข้าใจแล้ว ปรุงแต่งให้แม้แต่ความคิดก็เป็นความคิดที่ถูกในเรื่องธรรม เพราะว่าวันหนึ่งๆ เราคิดเรื่องอื่นมาก ชีวิตจริงๆ เราต้องรู้ตามความเป็นจริง ว่าทรงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริง เพื่อการขัดเกลา เพื่อการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ว่าในขณะที่เกิดความคิด เรารู้เลยว่ามาจากการเข้าใจจากการฟัง ปรุงแต่งให้บางกาล การคิดทำนองหรือคลองของธรรมก็เกิดขึ้นในความไม่เที่ยง ในการที่จะต้องรับผลของกรรม
เมื่อเช้านี้ใครได้รับความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกายบ้างไหม มีอะไรตกถูกเท้าบ้างไหม แม้แต่เจ็บนิดเดียว ขณะนั้นถ้าได้ฟังธรรมเเล้ว เราก็รู้ถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ใครก็ทำไม่ได้เลย ไม่ใช่ขณะอื่นด้วย ต้องเป็นขณะนี้ และก็ต้องเป็นในลักษณะอย่างนี้ และความเจ็บที่เกิดขึ้นก็เท่านี้ตามกำลังของกรรม จะไปเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีอะไรกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็เป็นเหตุการณ์ต่างๆ ใจที่สะสมธรรมไว้ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าขณะนั้นคือผลของเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ขณะไหน จนกระทั่งมาถึงขณะที่แม้กำลังเห็น โดยที่ยังไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราคิดว่าเราได้ลาภ หรือว่าเสื่อมลาภ ได้ยศหรือว่าเสื่อมยศ เพียงแค่เห็น จะระลึกได้ไหม ว่านี่คือผลของกรรม ยังไม่เกิดแต่ว่าจากการฟังบ่อยๆ แล้วก็มีการเข้าใจว่า ขณะนี้จิตเห็นก็กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง สั้นมาก เพราะเหตุว่ามีเสียงแล้ว เพราะฉะนั้นความเป็นตัวตนที่คั่นอยู่ ทำให้เรายังไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ ทั้งๆ ที่ขณะที่เห็น สั้น แล้วก็เสียงก็ปรากฎ อ่อนหรือแข็งก็ปรากฎ คิดนึกก็มีสลับคั่น แต่ด้วยความไม่รู้ และด้วยความเป็นเรา จึงยังให้ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ต้องอาศัยการฟังต่อไปอีก แล้วก็จะเห็นว่าความคิดของเราที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นอกุศลสะสมมาที่จะคิดอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนความคิดที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลในขณะนั้นไม่ได้ พอถึงเวลาที่เป็นกุศลที่คิด ใครก็เปลี่ยนจิตที่เป็นกุศลที่คิดในขณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็คือเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ว่าเราเรียนเรื่องจิตประเภทต่างๆ แล้วเราไม่เคยเห็นไม่เคยเข้าใจชีวิตจริงๆ เลย อย่างนั้นเราจะเรียนทำไม ใช่ไหม ก็อยู่เพียงในตำรา แต่ถ้าเรียนแล้วสามารถที่จะเข้าใจได้ นี่คือขั้นคิด หลังจากที่ได้ฟัง เป็นจินตามยปัญญา ซึ่งเกิดต่อจากสุตมยปัญญา แต่เราก็รู้ว่าขณะนี้เรากำลังคิดเรื่องจิต เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน สิ่งที่กำลังปรากฎทางตาก็ปรากฎกับจิตที่กำลังเห็น กำลังรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ แต่นี่ขั้นคิด
เพราะฉะนั้นจะต้องมีการอบรม ที่ใช้คำว่าภาวนา อบรมที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟัง จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็รู้ประโยชน์ของการฟัง การศึกษา เพราะว่าพื้นฐานที่เราเข้าใจ จะทำให้เราสามารถเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎกได้ตรงตามฐานะ หรือตามพื้นฐานที่เราเข้าใจ ไม่ผิด