อบรมไม่ใช่ให้ใครบอก แต่คือการฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นคำว่า อบรมไม่ใช่คนอื่นต้องมาบอก แต่จากการฟัง และรู้ว่าปัญญาขั้นฟัง ไม่ใช่ปัญญาขั้นที่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นหลังจากที่ฟังแล้ว แม้แต่ความคิดถูกตามคลองของธรรมก็ไม่ได้เกิดบ่อย แต่เมื่อฟังแล้วเกิด เราก็รู้ว่านี่เป็นขั้นคิดเรื่องจิต ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ทั้งๆ ที่ขณะนี้จิตที่เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี วิบากก็มี กิริยาก็มี อย่างที่เรากล่าวถึงเมื่อครู่นี้ เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า จะต้องมีปัญญาอีกขั้นหนึ่ง แล้วเราเองจะเป็นคนที่เข้าใจความหมายของคำว่าอบรม โดยที่ไม่มีใครต้องมาบอกเราว่าอบรมคือทำอย่างนี้ แต่เรารู้เลย ถ้าไม่มีการฟังเป็นพื้นฐาน จะเอาอะไรอบรม หรือจะอบรมอะไร และเมื่อฟังแล้วความรู้ไม่ใช่ประจักษ์แจ้งทันที แต่ต้องอาศัยกาลเวลาจากการฟัง แล้วก็เป็นความคิดที่ถูกตรงตามธรรม แล้วยังต้องมีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ
เพราะฉะนั้นอบรมคืออย่างนี้ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ใครมาแปล หรือมาบอกว่าอบรมคืออย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือคำแปล แต่คำแปลนั้นหมายความถึงอะไร การเข้าใจอย่างไร ต้องมาจากความเข้าใจในขั้นต้น ว่าเราไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเลย ถ้าไม่มีการฟัง และเมื่อการฟังพอสมควรแล้ว วันหนึ่งๆ ที่เราคิดหรือตรึก เราตรึกไปในทางกุศลหรืออกุศล นี่คืออบรมกุศลที่จะเกิดขึ้นจากการฟังที่เข้าใจ และเมื่อมีการฟังเข้าใจเพิ่มขึ้น มีสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ก็จะรู้ว่าขณะนั้น ต่างกับขณะที่ฟังเข้าใจ เพราะว่าฟังเข้าใจ ฟังเข้าใจเรื่องราว ทั้งๆ ที่มีสภาพธรรมกำลังปรากฎ เพราะฉะนั้นขณะใดที่สติเกิดรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม ก็รู้ว่านี่เป็นอีกขั้นหนึ่ง ที่ตัวจริงของธรรมปรากฎตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่าขณะนั้นก็ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ แต่จากการที่ได้เริ่มรู้ลักษณะที่มีจริงๆ จนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น มากขึ้น ทั่วขึ้น สภาพธรรมเป็นอย่างไร ก็จะต้องปรากฎกับปัญญาที่อบรมแล้ว อย่างนี้เราจะเข้าใจความหมายของคำว่าอบรม หรือภาวนาด้วยตัวของเราไหม ไม่ใช่ไปอาศัยคำแปล แล้วก็ต้องแปลว่าอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ มาจากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าจริงๆ แล้วทั้งหมดเป็นประโยชน์ที่จะเกื้อกูลว่า ถ้าเรายังไม่เข้าใจ เราประมาทคำที่เราได้ยินได้ฟังไม่ได้ เราต้องเข้าใจจนกระทั่งว่า เราพูดว่า กุศลจิต อกุศลจิต อยู่ในชวนจิต เรารู้แล้ว นั่นจำ แต่จะเป็นอยู่ในชวนะได้อย่างไร ในเมื่อกุศลเป็นชวนจิต เพราะทำชวนกิจ ไม่ใช่ทัสนกิจ ไม่ใช่อะไรเลย
คือฟังแล้วก็ต้องค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ว่า ธรรมคือขณะนี้ แล้วก็เป็นจริงอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราตามตำรา แล้วเราก็จำไว้เป็นบรรทัด จำได้เลยว่ากุศลจิตอยู่ในชวนะ ๕๕ ดวง หรืออะไรอย่างนั้น แล้วก็ไปนั่งไล่เรียง แต่ว่าขณะจริงๆ ก็คือว่า ยังไม่ได้เข้าใจว่า เป็นชวนจิตเพราะทำชวนกิจ เหมือนกับเป็นปฏิสนธิจิตเพราะทำปฏิสนธิกิจ