ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคืออย่างไร
คุณศุกล ที่ท่านอาจารย์บอกว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ฃอ ให้ท่านอาจารย์อธิบาย
ท่านอาจารย์ สูงสุด คือการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงสูงสุด
คุณศุกล แล้วขั้นเริ่มต้น
ท่านอาจารย์ ก็ต้องมาจากขั้นต้น คือขั้นการฟังให้เข้าใจ
อ.สมพร ผมก็สนับสนุนทำปัญญาให้เกิด หรือว่าวุฒิปัญญา ปัญญาที่จะเจริญได้ อาศัยเหตุ ๔ อย่าง ก็คือ ๑. การคบ ต้องคบสัตบุรุษ หรือคนซึ่งมีปัญญา เข้าใจเรื่องธรรม สมัยก่อนเรียกว่าสัตบุรุษ สมัยนี้เขาเรียกว่ากัลยาณมิตรก็ได้ ๒. ฟังธรรมของท่าน ธรรมของสัตบุรุษหรือของกัลยาณมิตร ซึ่งจะต้องประกอบด้วยประโยชน์เท่านั้น สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ท่านจะไม่นำมาเลย เมื่อนำสิ่งที่เป็นประโยชน์มา แล้วก็ได้สติเกิดขึ้นในขณะนั้น เมื่อได้สติเกิดขึ้น ปัญญาซึ่งความเข้าใจก็เกิดขึ้นพร้อมกัน อาศัยการฟัง ดังนั้นจึงต้องฟังบ่อยๆ ๓. มนสิการ ทุกคนๆ ฟังแล้วก็ต้องพิจารณา ใคร่ครวญ หาเหตุผล ว่า ถูกหรือมันผิดอย่างไร ว่าอารมณ์ที่กล่าวเป็นบัญญัติหรือเป็นปรมัตถ์ ๔. ปัญญาที่จะเจริญได้ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ที่เราศึกษาธรรมทุกวันนี้ ในข้อของภาวนา ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ก็ต้องเป็นภาวนา ไม่ใช่แค่เพียงศีล ศีลก็เป็นกุศล การให้ทานก็เป็นกุศล แต่ว่ากุศลที่ประกอบด้วยทานด้วยศีล บางครั้งก็มีปัญญาบางครั้งก็ไม่มีปัญญา ถึงบางครั้งจะมีปัญญา แต่ปัญญาก็ไม่คมกล้าเหมือนปัญญาที่ทะลุได้ทั้งรูป และนาม
ท่านอาจารย์ สำหรับเรื่องของการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะว่าที่ใช้คำนี้ โดยที่อาจารย์ก็ได้ยกเหตุผลมา ว่าจะต้องมีการคบสัตบุรุษแล้วก็มีการฟังธรรมของท่าน แล้วก็พิจารณาธรรม แล้วจึงถึงปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เป็นเรื่องของสติปัฏฐาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หนทางถูกต้องนั้นคืออย่างไร เพราะเหตุว่าหนทางผิดมีมาก การปฏิบัติธรรมอย่างที่ว่า จะปฏิบัติเรื่อยโดยที่ไม่มีปัญญาอะไรเลยก็จะปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจะเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ได้
ส่วนข้อปฏิบัติที่จะเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนั้น ก็คือว่าต้องคบสัตบุรุษ หมายความว่ารู้ว่าผู้ใดกล่าวถูกต้อง มีเหตุผล แล้วก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง ที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่ว่าคนนี้ ชื่อนั้น เป็นสัตบุรุษ หรือคนนั้น ชื่อนั้น เป็นสัตบุรุษ แต่ต้องเป็นเรื่องความเห็นถูก แล้วก็คำพูดที่ถูกต้องด้วย ที่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เหตุกับผลไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นนอกจากจะรู้ว่าใครเป็นสัตบุรุษ แล้วก็ยังฟังธรรมของสัตบุรุษ แล้วก็พิจารณาธรรม ก่อนที่จะมีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ซึ่งการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนั้นไม่ใช่เรา หรือว่าไม่ใช่ตัวตนที่จะปฏิบัติ ฟังมาแล้ววันนี้จะปฏิบัติ ไม่ใช่ และธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรม ก็คือมรรคมีองค์ ๕ โดยปกติ คือสติมีการระลึกได้เกิดขึ้น ระลึกลักษณะของปรมัตถธรรม สภาพธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ที่ปรากฏ นี่คือได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ รู้ว่าสัตบุรุษพูดถึงสิ่งที่มีจริง แล้วก็แสดงหนทาง ที่ว่าปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็โดยการที่เมื่อฟังแล้วเข้าใจแล้ว ต้องเข้าใจแล้ว สติจึงจะระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ มิฉะนั้นแล้วถ้ายังไม่เข้าใจ จะให้เป็นสัมมาสติระลึกอะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น นอกจากเราใช้ชื่อ คือเรียกชื่อไปเรื่อย ของไม่จริงก็เอาชื่อไปใส่เอาไว้ว่าเป็นสัมมาสติ หรือเป็นมรรคมีองค์ ๘ หรือว่าเป็นสติปัฏฐาน แต่ว่าปัญญาไม่เกิดเลย แล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ด้วย
เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจจริง ถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่ตัวเราที่วันนี้จะปฏิบัติ หรือว่าเมื่อไหร่จะปฏิบัติ แต่เป็นขณะใดที่สติเกิดขึ้น ขณะนั้นปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือสติปฏิบัติกิจของสติสมควรแก่กิจของสติ สภาพธรรมแต่ละอย่างก็เกิดขึ้นปฏิบัติกิจของธรรมนั้น สมควรแก่กิจของตนๆ ต้องเริ่มจากความเห็นถูกต้องในสภาพธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน ถึงจะเป็นการอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องที่ก็ต้องฟังแล้วฟังอีก แล้วก็คิดไปอีก พิจารณาไปอีก จนกว่าสติระลึก