เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ โดยประทับม้าทรงชื่อ กัณฐกะ


    ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นปราสาทที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นปราสาทที่น่ารื่นรมย์ แต่ความรู้สึกของคนที่เริ่มหน่ายความน่ารื่นรมย์ต่างๆ ก็จะเห็นว่าไม่น่ารื่นรมย์จริง เพราะแต่ก่อนนั้นเมื่อยังเพียบพร้อมด้วยกิเลสย่อมเห็นสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่เมื่อปัญญาเริ่มเจริญขึ้นย่อมเห็นว่าสิ่งที่เคยรื่นรมย์นั้น แท้ที่จริงแล้วหาเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ พระโพธิสัตว์บรรทมเหนือพระที่บรรทม ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทั้งหลาย ผู้มีดวงหน้างามเหมือนดวงจันทร์เต็มดวง ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและบรรเลง มีรูปโฉมงามเช่นเทพธิดา ถือดนตรีที่มีเสียงไพเราะพากันมาห้อมล้อมพระมหาบุรุษนั้นให้ทรงรื่นรมย์ ประกอบการฟ้อนการขับร้องและการบรรเลง แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินดีในการฟ้อน การขับร้องเป็นต้น เพราะทรงมีจิตหน่ายในกิเลสทั้งหลาย บรรทมหลับไปครู่หนึ่ง

    สตรีเหล่านั้นเห็นพระโพธิสัตว์บรรทม คิดว่าพวกเราประกอบการฟ้อนเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใด ท่านผู้นั้นก็บรรทมหลับไปแล้ว บัดนี้พวกเราจะลำบากเพื่ออะไรเล่า แล้วก็นอนทับดนตรีที่ถือกันอยู่หลับไป ประทีปน้ำมันหอมก็ยังติดโพลงอยู่ พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือหลังพระที่บรรทม ทรงเห็นสตรีเหล่านั้นนอนทับเครื่องดนตรี มีน้ำลายไหล มีแก้มและเนื้อตัวสกปรก บางพวกกัดฟัน บางพวกกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้าผ่อนหลุดลุ่ย บางพวกมีผมปล่อยยุ่ง นอนทรงรูปเหมาะแก่ป่าช้า

    พระโพธิสัตว์ทรงเห็นอาการแปลกๆ ของสตรีเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตหน่ายในกามทั้งหลายสุดประมาณ พื้นปราสาทที่ประดับตกแต่งแม้งดงามเหมือนสวรรค์ ก็ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์นั้นปฏิกูลอย่างยิ่ง เหมือนป่าช้าผีดิบที่เต็มด้วยซากศพสรีระของคนตายที่เขาทอดทิ้งไว้ แม้ภพทั้งสามก็ปรากฏเสมือนภพที่ไฟไหม้ ทรงพระดำริว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ พระหฤทัยก็น้อมไปเพื่อบรรพชาอย่างยิ่ง แล้วในคืนนั้นเองก็ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ โดยประทับม้าทรงชื่อ กัณฐกะ ใกล้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เพียงอีก ๖ ปีต่อจากนี้เท่านั้น แต่ชาติสุดท้ายนั้นก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามวัยต่างๆ จนกว่าจะถึงกาลที่สมควรแก่การตรัสรู้


    หมายเลข 2137
    2 ก.ย. 2565