ชีวิตของพระโพธิสัตว์ ก่อนการตรัสรู้
ต่อไปก็เป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ ก่อนการตรัสรู้ เมื่อพระมหาบุรุษทรงผนวชแล้วก็ประทับ ณ สถานที่นั้น คือที่สวนมะม่วง ชื่อ "อนุปิยะ" ๗ วัน ด้วยความสุขในบรรพชา จากปราสาท ๓ หลัง จากข้าราชบริพารแวดล้อม จากความสดวกสบายทุกอย่าง แต่พระโพธิสัตว์ก็ประทับที่สวนมะม่วงชื่อ อนุปิยอัมพวัน ด้วยความสุขในบรรพชา อย่างไหนจะมีความสุขกว่ากัน ไม่วุ่นวาย ไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน ไม่มีเรื่องกังวล แต่เป็นชีวิตที่อิสสระ ซึ่งจะค่อยๆ เริ่มพ้นจากความผูกพันของวัตถุกามต่างๆ
หลังจากนั้น พระองค์ทรงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนราชสีห์ ทรงเป็นนรสีหะ เหมือนควาญผู้รู้จักลีลาของช้างตกมัน ยังแผ่นดินให้เบาด้วยฝ่าพระบาท เสด็จเดินทาง ๓๐ โยชน์ วันเดียวเท่านั้น ทรงข้ามแม่น้ำคงคา เสด็จเข้าสู่พระนครราชคฤห์ เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จเที่ยวแสวงหาภิกษา พวกมนุษย์ชาวพระนครที่เห็นพระรูปของพระมหาสัตว์ ก็เกิดปิติโสมนัส พระมหาบุรุษนั้นไม่มีใครงามเท่า แล้วก็ยังบรรพชาด้วยจิตใจสงบ ปลอดโปร่งจากสิ่งรบกวนทางโลก ความสง่างามของพระองค์จึงเป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็น
ความสง่างามของพระรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ทำให้ชาวเมืองราชคฤห์เปรียบความสง่างามของพระองค์ต่างๆ นาๆ เช่นบางคนก็กล่าวว่าเหตุไรหนอ จันทร์เพ็ญที่มีรัศมี ที่ถูกภัยคือราหูกำบังแล้ว ยังมาสู่มนุษย์โลกได้ คือเปรียบพระองค์ว่าเหมือน พระจันทร์เพ็ญซึ่งมาสู่โลกมนุษย์ บางคนก็ยิ้มและพูดว่า พูดอะไรอย่างนั้น เคยเห็นจันทร์เพ็ญมาสู่โลกมนุษย์กันเมื่อไร นั่นกามเทพมีดอกไม้เป็นธงมิใช่หรือ ท่านถือเพศอื่น เห็นความเจริญลีลาอย่างยิ่งของมหาราชของเราและชาวเมือง จึงเสด็จมาเล่นด้วย คนอื่นนอกจากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า ท่านเป็นบ้ากันแล้วหรือ นั่นพระอินทร์ผู้เป็นท้าวสหัสสนัยน์ เป็นจ้าวแห่งเทวดามาในที่นี้ด้วยความสำคัญว่าเป็น อมรปุระ คือเข้าใจว่าเป็นเมืองเทพ
คนอื่นนอกจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า ท่านพูดอะไรกัน ท่านผิดทั้งคำต้นคำหลัง ท่านผู้นั้นมีพันตาที่ไหน มีวชิราวุธที่ไหน มีช้างเอราวัณที่ไหน ที่แท้ท่านผู้นั้นเป็นพรหม ท่านรู้ว่าคนที่เป็นพราหมณ์ประมาทกัน จึงมาเพื่อประกอบไว้ในพระเวทและเวทางค์เป็นต้นต่างหากเล่า พวกพราหมณ์เสื่อมจากลัทธิพระเวทต่างๆ จึงมาตักเตือนให้ประกอบพระเวทต่อไป ส่วนคนอื่นที่เป็นบัณฑิต ก็ปรามคนเหล่านั้นทั้งหมดแล้วพูดว่า ท่านผู้นี้ไม่ใช่พระจันทร์เพ็ญ ไม่ใช่กามเทพ ไม่ใช่ท้าวสหัสนัยย์ ไม่ใช่พรหมทั้งนั้น แต่ท่านผู้นี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ จะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง นี่ ตาสว่างขึ้นมาแล้ว จากการที่หลงมองเห็นเป็นสิ่งต่างๆ นาๆ ก็มีผู้ที่รู้ว่าไม่ใช่ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด แต่เป็นอัจฉริยมนุษย์และจะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง
เมื่อชาวพระนครเจรจากันอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษก็กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสาร พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ประทับยืน ณ ปราสาทชั้นบน ทรงเห็นพระมหาบุรุษ เกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี ทรงรับสั่งกะพวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงไปทดสอบท่านผู้นั้น ถ้าเป็นอมนุษย์ก็จักออกจากนครหายไป ถ้าเป็นเทวดาก็จะไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคราชก็จักลงไปในดิน ถ้าเป็นมนุษย์ก็จะบริโภคภิกษาตามที่ได้มา
ฝ่ายพระมหาบุรุษมีอินทรีย์สงบ มีพระหฤทัยสงบ เป็นประหนึ่งดึงดูดสายตา มหาชนเพราะความงามแห่งพระรูป ทรงแลชั่วแอก รวบรวมอาหารระคนกัน พอยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ เสด็จออกจากพระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามา บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตวันออกแห่งร่มเงาภูเขาปัณฑวะ ประทับนั่งพิจารณาอาหาร ไม่มีอาการผิดปกติเสวย แต่นั้นพวกราชบุรุษก็ไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา