กายานุปัสสนาสติปัฏฐานกับสมถภาวนาต่างกัน
เพราะเหตุว่า บางท่านคงจะอ่านมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้นมีอานาปานสติด้วย มีกายคตาสติด้วย มีจตุธาตุววัฏฐาน คือ การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ และมีอสุภะด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหมวดของสมถภาวนา ก็ทำให้คิดว่า อานาปานสติก็ดี กายคตาสติก็ดี จตุธาตุววัฏฐานก็ดี อสุภกัมมัฏฐานก็ดีเหล่านั้น ท่านต้องเจริญสมาธิเสียก่อน ต้องให้ได้ฌานจิตเสียก่อน แล้วจึงจะเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ นี่เป็นความเข้าใจของท่านเอง
ในพระไตรปิฎกได้บัญญัติศัพท์แยกกัน สำหรับการเจริญอานาปานสติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานในหมวดของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ใช้พยัญชนะอย่างหนึ่ง แต่พอถึงการเจริญอานาปานสติที่เป็นการเจริญสมถภาวนาใช้คำว่า “อานาปานสติสมาธิ” แยกกัน เพราะในการเจริญอานาปานสติโดยนัยของสมถภาวนานั้น สมาธิเป็นประธาน ถือสมาธิเป็นใหญ่ ถือความตั้งมั่นของจิตที่ลมหายใจเพื่อให้สงบจนกระทั่งเกิดนิมิตบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จนถึงปัญจมฌาน
แต่ในการเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่ถึงข้อความนิทเทสวาระของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในหมวดของอานาปานสติจะพบว่าไม่มีข้อความอย่างนั้นเลย และในพระสูตรอื่นๆ ทรงแสดงไว้ชัดว่า อานาปานสติสมาธินั้นเจริญอย่างไรจึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หมายความว่า เมื่อผู้ใดเคยเจริญอานาปานสติโดยนัยของสมถภาวนาแล้ว การเจริญอานาปานสติสมาธินั้นจะมีผลมาก มีอานิสงส์มากด้วยการเจริญอย่างไรต่อไป นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกวิธีหนึ่ง