ธรรมเป็นเรื่องฟังแล้วเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องถามใคร
ท่านอาจารย์ "ธรรม" ไม่ใช่เรื่องถามใครเลย แต่เป็นเรื่องฟังแล้วเข้าใจ ไหวเป็นอะไร ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ก็เป็นปรมัตธรรมทั้งหมดเลย แล้วแต่ว่าลักษณะใดปรากฏ ก็คือสิ่งที่เราได้เรียนแล้ว แต่ว่าขณะนั้นไม่มีชื่อที่จะต้องเป็นนึกว่าเป็นอะไร เพราะว่าลักษณะนั้นกำลังปรากฏให้รู้ อย่างไรก็ตามแต่เมื่อไหร่ที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็จะมีลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่งปรากฏ โดยที่ว่าไม่มีชื่อ ไม่ต้องไปเรียกชื่อ ว่านี่ตึงหรือไหว หรืออะไรอย่างนี้ ไปนึกอะไรอย่างนั้น ในเมื่อลักษณะนั้นกำลังปรากฏ จริงๆ ก็ควรจะรู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ท่าทางอะไรก็ไม่ได้มี ในขณะนั้น มีแต่ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใดที่ปรากฏ
ผู้ฟัง ท่าทางที่มี ก็เพราะว่ามีตัวตน
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่ามีการทรงจำ ซึ่งยากแสนยากที่จะละอัตตสัญญา ซึ่งตรงกันข้ามกับอนัตตสัญญา อนัตตสัญญาไม่มีตัวตน ไม่มีเรา แต่อัตตสัญญา มีเรา มีรูป มีร่างกายของเรา จะไม่มีนั่ง ไม่มีนอน ไม่มียืน ไม่มีเดิน ถ้ามีไหว ขณะนั้นมีสภาพที่รู้ไหว ไม่มีเรา แต่มีสภาพที่กำลังรู้ไหว ลักษณะไหวเป็นรูปธรรม สภาพรู้เป็นนามธรรม จะมีแต่นามธรรม
และรูปธรรมเสมอตลอด ขณะไหนบ้างที่ไม่มีนามธรรม ขณะไหนบ้างที่ไม่มีรูปธรรมแต่ไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นเรา เราว่ายน้ำ เราเห็นน้ำ หัวใจเราเต้น ก็เป็นเราไปหมด แต่ความจริงก็คือนามธรรม และรูปธรรม ถ้าไม่มีนามธรรม ไหวที่เข้าใจว่าเป็นหัวใจเต้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งหมดจะรู้ได้เพราะมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ขณะใดที่รู้สิ่งใด ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้สิ่งนั้น