ฟังให้เข้าใจเสียงท่านอาจารย์หรือนั่นคือเสียง


    ผู้ฟัง ฟังในที่นี้หมายความว่า อาจารย์พูดไป เข้าใจความหมายที่พูด หรือเสียงที่พูดก็พูดไป แต่เราระลึกรู้อย่างเดียวว่า นั่นคือเสียง อันไหนที่ฟังแล้วทำให้เกิดปัญญาได้ดีกว่ากัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าทราบว่า กว่าจะละคลายจนดับกิเลสได้ถึงความเป็นพระโสดาบัน คือละความเห็นผิดในสภาพธรรมซึ่งปรากฏเสมือนว่าเที่ยง ไม่ดับ ปรากฏเสมือนว่าสุข เพราะเหตุว่ายังคงตั้งอยู่ ปรากฏเสมือนว่าเป็นเราที่สามารถบังคับบัญชาอย่างไรก็ได้ ก็จะต้องรู้ว่า ต้องใช้เวลานานมาก และไม่ต้องห่วงอะไรเลยทั้งสิ้น เช่นเรื่องปฏิบัติ ขอให้เจริญปัญญาอย่างเดียว และปัญญานั้นจะก้าวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมพร้อมด้วยสติ เพราะขณะนี้กำลังพูดถึงเรื่องการเห็น แต่สติไม่ได้ระลึกที่เห็น กำลังพูดถึงการได้ยิน แต่สติไม่ได้ระลึกถึงสภาพธรรมที่ได้ยิน อาจจะระลึกที่เสียง อาจจะระลึกที่แข็ง

    เพราะฉะนั้น การฟังจะเกื้อกูลทำให้เข้าใจว่า สติจะค่อยๆ ระลึกเมื่อเข้าใจสภาพธรรมมากขึ้น อย่างทางตา บางคนบอกว่า ฟังธรรมมาหลายปี หรือหลายสิบปี แต่ยังไม่ได้ระลึกทางตา ก็แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมทางตายังไม่มั่นคงพอจะทำให้สติเกิดระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เหมือนเงาในกระจก แล้วก็นึกคิดว่าเป็นคน สัตว์

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังเรื่องสภาพธรรมทั่วๆ ไป ทั้ง ๖ ทางมากขึ้น เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้สติระลึกได้ ถ้าเข้าใจความหมายของคำว่า “อนัตตา” จะไม่มีการทำ แต่มีการอบรมปัญญาเข้าใจสิ่งที่มีแล้วในขณะนี้ ไม่มีใครทำเห็นวันนี้เลย เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครทำได้ยิน มีแล้ว มีปัจจัยก็ได้ยิน มีปัจจัยก็เห็น ไม่มีใครทำให้โกรธ แต่โกรธจะเกิด ก็มีปัจจัยจะเกิดความโกรธ ไม่มีใครทำให้เกิดติดข้องพอใจ เพราะเหตุว่ามีปัจจัยทำให้เกิดติดข้องพอใจ ความพอใจก็เกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมที่มีแล้ว เกิดแล้วตามปกติตามเหตุปัจจัย ไม่ต้องทำอะไรอีก แต่มีการอบรมเจริญปัญญาฟังให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่มีอยู่แล้ว จนกระทั่งปัญญา ความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเจริญขึ้น นั่นคือสติ มรรคมีองค์ ๘ พร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิปฏิบัติกิจของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เรา และรู้ด้วยว่า ไม่ใช่เราจะทำ ถ้าปัญญาจะเกิด ก็ไม่ใช่เราจะไปทำให้เกิด แต่อาศัยการฟังเมื่อไร เข้าใจเมื่อไร มากขึ้นเมื่อไร สติระลึกเมื่อไร ปัญญาสมบูรณ์เมื่อไร ก็เป็นไปตามลำดับขั้นของเขา ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่จะทำ

    ผลทั้งหลายหรือความสำเร็จทั้งหลายที่จะมีได้ เพราะมีจุดประสงค์ ถ้าไม่มีจุดประสงค์ หรือจุดประสงค์ผิด ผลก็ต้องผิดหรือคลาดเคลื่อน ผู้ศึกษาพระอภิธรรมหรือฟังธรรม ก็ต้องมีจุดประสงค์ที่ถูก ซึ่งท่านใช้คำว่า ตั้งจิตไว้ชอบ ถ้าจะศึกษาเหมือนวิชาการอย่างอื่น เพื่อการสอบ และมีความรู้ประกาศนียบัตร นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ หรือจะศึกษาเพื่อเราศึกษา คนอื่นไม่ได้ศึกษา เราเก่งกว่า เรารู้กว่า นั่นไม่ใช่จุดประสงค์เหมือกัน แต่จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในพระไตรปิฎก เพื่อเข้าใจ จุดประสงค์คือเพื่อเข้าใจ แล้วไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากนั้นหรือยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่เพื่อลาภ หรือเพื่อยศ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ เพื่อสักการะ เพื่ออย่างเดียวคือเข้าใจ ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็รู้ว่า เห็นขณะนี้ไม่เหมือนขณะเมื่อกี้นี้ ได้ยินขณะนี้ก็ไม่ใช่ได้ยินเมื่อกี้นี้อีกเหมือนกัน การนึกคิดขณะนี้ก็ไม่ใช่ขณะเมื่อกี้นี้

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ทุกขณะในเสี้ยววินาทีเกิดดับอย่างรวดเร็วขณะไหน เพราะฉะนั้น เป็นชีวิตจริงๆ การจะไปเร่งรัดไปปฏิบัติให้เป็นพระโสดาบัน ให้ประจักษ์การเกิดดับของนามรูป เป็นไปได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ขั้นฟังให้เข้าใจเสียก่อนก็ยังต้องมี ถ้าขั้นฟังให้เข้าใจไม่มี การปฏิบัติอะไรเป็นไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นความจริงทุกขณะ จริงยิ่งกว่าอื่น เพราะเหตุว่ากำลังมีแล้วขณะนี้ เห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้ เป็นจริง เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เป็นอนัตตาจริงๆ หมดไปแล้วจริงๆ คือพูดถึงสภาพธรรมที่มีจริงให้รู้ชัดตามความเป็นจริงแท้ๆ ของลักษณะนั้น

    เพราะฉะนั้น อภิธรรมก็คือพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้ปัญญาของคนในยุคคนี้ซึ่งกำลังอบรมเพื่อจะได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ถูกต้อง และสอบตัวเองได้ รู้จักตัวเองได้ว่า กำลังเห็น แล้วก็ฟังมาตั้งนานแล้วว่า เป็นอนัตตา เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นสภาพรู้ แล้วเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า ไม่ต้องให้คนอื่นบอกเลย แต่ตัวเองสามารถรู้ว่า ขณะนี้หลงลืมสติ หรือสติเกิด ปัญญาขณะนี้รู้ตรงตามที่ได้ฟัง หรือยังจะต้องฟังต่อไปอีก จนกว่าจะรู้จริงๆ อย่างนี้ได้ ส่วนนิพพานก็ต้องอีกไกล ถ้ายังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ไม่มีถึงนิพพาน เพราะว่าไม่ใช่เราจะถึงนิพพาน แต่เป็นปัญญาที่เจริญจนกระทั่งถึงขั้นที่แทงตลอดการเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ แล้วละคลายการติดข้อง ความสำคัญที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา จนกระทั่งดับความยึดถือว่า สภาพธรรมเป็นเราได้จริงๆ ด้วยการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน

    เพราะฉะนั้น กว่าจะไปถึงขั้นนั้นก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่ขั้นนี้

    วันก่อนได้ไปที่สำนักแห่งหนึ่ง ท่านก็มีการปฏิบัติกัน และสนทนาธรรม ท่านก็ขอให้พูดถึงขั้นต้น หรือขั้นเริ่มของการปฏิบัติ ดิฉันก็ได้เรียนให้ทราบว่า คือขั้นฟังให้เข้าใจ นี่คือการจะนำคนไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่

    เพราะฉะนั้น ขั้นการฟังต้องพิจารณาว่า จริงหรือเปล่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สภาพธรรมในขณะนี้กำลังเกิดดับ ถ้าเป็นความจริง เพราะอะไร เพราะพระองค์ตรัสรู้ คือ ประจักษ์แจ้งแล้วทรงแสดงตามที่ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่อนุมานแบบนักจิตวิทยา หรือนักปรัชญา แต่เป็นปัญญาขั้นโลกุตตระที่สามารถแทงตลอดการเกิดดับในขณะนี้ได้ คือ เริ่มตั้งแต่รู้ว่า จิตที่เห็นไม่ใช่จิตที่ได้ยิน นี่ก็ห่างกันแล้ว พอที่ว่าจิตหนึ่งต้องดับเสียก่อน อีกจิตหนึ่งจึงจะเกิดขึ้นได้ นี่ขั้นฟัง แต่ก็จะต้องเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ อีกมากทีเดียว

    ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จะกระโดดทีเดียวให้เป็นผู้ชนะเลิศในการกระโดดสูง ก็คงจะไม่ได้ คงต้องค่อยๆ ฝึกไป อบรมไป


    หมายเลข 2210
    25 ก.ค. 2567