พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตพุทธเจ้า
เมื่อพระโกณฑัญญพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไปประมาณอสงไขยหนึ่ง ในกัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๔ พระองค์ คือ พระมังคลพุทธเจ้า พระสุมนพุทธเจ้า พระเรวตพุทธเจ้า พระโสภิตพุทธเจ้า ในสมัยพระมังคลพุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเป็นพราหมณ์นามว่า สุรุจิ ซึ่งท่านคิดว่าควรจักถวายทานแก่พระภิกษุสัก ๗ วัน และได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายทานข้าวควปานะ ประมาณ ๗ วัน
ซึ่งคำอธิบายมีว่า คำว่า ข้าวควปานะนั้น ท่านอธิบายว่า เขาเรียกชื่อโภชนะชนิดหนึ่งที่เขาเอาน้ำนมสดใส่ในหม้อใหญ่แล้วตั้งบนเตาไฟ เมื่อน้ำนมกลายเป็นเปรียงแล้ว ใส่ข้าวสารลงหน่อยหนึ่ง ผสมกับน้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด ขัณฑสกร และเนยใสที่เคี่ยวแล้ว
ในวันที่เสร็จจากการอังคาส พระโพธิสัตว์ให้ล้างบาตรของพระภิกษุทุกรูป ใส่เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเพื่อให้เป็นเภสัช แล้วถวายพร้อมกับไตรจีวร
พระบรมศาสดาเมื่อทรงทำอนุโมทนา ทรงใคร่ครวญดูว่า บุรุษนี้ถวายทานใหญ่ถึงเพียงนี้จักได้เป็นอะไรหนอ ทรงทราบว่า ในอนาคตกาลที่สุดสองอสงไขยแสนกัปจักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ แล้วโปรดให้พระมหาบุรุษเข้าเฝ้า ทรงพยากรณ์เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ล่วงกาลประมาณเท่านี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ เมื่อพระมหาบุรุษสดับคำพยากรณ์จากพระมังคละพุทธเจ้าดังนั้นแล้ว ได้บรรพชาในสำนักของพระบรมศาสดา ครั้นบวชแล้ว ได้เล่าเรียนพระพุทธพจน์ ได้บรรลุอภิญญา และสมาบัติ ดำรงชนม์ชีพอยู่ตลอดอายุขัย ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
เป็นสังสารวัฏฏ์ที่จะต้องสืบต่อไปเรื่อยๆ ในภพต่างๆ จนกว่าจะได้บรรลุเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้อความต่อไปมีว่า
เมื่อพระมังคลพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็เป็นเหตุให้หมื่นโลกธาตุเกิดความมืดมิดอย่างนี้
คือ ในสมัยใดที่ไม่มีคำสอน ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงลักษณะสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่ปรากฏแต่ละทาง และก็ดับไป
ข้อความต่อไป
ต่อจากนั้นพระสุมนศาสดาได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในคราวนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพญานาคนามว่า อตุละ พระบรมศาสดาได้ทรงพยากรณ์พญานาคแม้นั้นเป็นครั้งที่ ๔ ว่า พญานาคนี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
ในกาลต่อจากพระศาสดาพระนามว่าสุมนพระองค์นั้นมา พระศาสดาพระนามว่า เรวตะ ได้ทรงอุบัติขึ้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์นามว่า อติเทพ ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์ ประคองอัญชลีเหนือเศียรเกล้า กล่าวสรรเสริญคุณในการละกิเลสแห่งพระศาสดาพระองค์นั้น ได้ทำการบูชาด้วยผ้าห่ม แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๕ ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า
ที่ได้กล่าวถึงอดีตชาติต่างๆ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ก็เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้ทราบว่า ในกาลก่อนที่จะได้ตรัสรู้ พระผู้มีพระภาคเองก็ได้ทรงเกิดเป็นบุคคลต่างๆ ในชาติต่างๆ ซึ่งเหมือนในขณะนี้ ทุกคนกำลังเป็นบุคคลหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ แต่ว่ายังไม่ถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล เมื่อได้อบรมคุณธรรมพร้อมที่จะบรรลุ ก็ย่อมบรรลุได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นในชาติที่เป็นบุคคลใด อาจจะเป็นในชาติที่เป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ หรือว่ามีอาชีพใด เป็นบุคคลใด ก็ได้ทั้งสิ้น เป็นชีวิตธรรมดาปกติเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในสมัยโน้น หรือว่าในสมัยนี้
ข้อความต่อไปมีว่า
ในกาลต่อจากพระศาสดาพระนามว่าพระเรวตะพระองค์นั้นมา พระศาสดาพระนามว่า โสภิตะ ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์นามว่า สุชาติ ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วดำรงอยู่ใน ไตรสรณคมน์ ได้ถวายมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๖ ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า
ที่มา ...