สติปัฏฐานเกิด ไม่มีรูปแก่
อ.ธีรพันธ์ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นไม่มีคำว่ารูปแก่ ไม่มีคำว่า ...
ท่านอาจารย์ ไปสนใจอะไร สติปัฏฐานแล้วจะไปสนใจรูปแก่ แข็งแก่หรือเปล่า
อ.ธีรพันธ์ แข็งไม่แก่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไปสนใจอะไร
อ.ธีรพันธ์ ขณะนั้นไม่มีบัญญัติเป็นเรื่องราว ก็มีแต่ลักษณะของปรมัตถธรรมที่ปรากฎ
ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นทีละขณะ แล้วก็จิตแต่ละขณะต้องมีอารมณ์หนึ่งไม่ใช่มีหลายอารมณ์ ถ้าขณะที่กำลังมีคำหนึ่งคำใด เรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นอารมณ์ ขณะนั้นจะมีลักษณะของปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์หรือเปล่า
อ.ธีรพันธ์ ก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ พระธรรมทั้งหมดเพื่อละ หลังจากที่เคยติดมาในสังสารวัฏ แสนโกฏกัป ติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในความต้องการ ในความสุข ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในทุกสิ่ง แล้วจะละ จนกระทั่งถึงความไม่มีภาวะของความติดข้องเลย ถึงความเป็นพระอรหันต์ ที่ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่ทรงแสดงให้เพียงเป็นพระโสดาบัน ให้มีกิเลสเหลือแค่นี้ ดีแล้วสบายแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องให้ถึงที่สุดคือไม่มีทุกข์เลย ไม่มีเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น ซึ่งหนทางนี้เป็นหนทางที่อบรมเจริญได้ แต่ต้องรู้ว่าเริ่มต้องตรงตั้งแต่ต้น คือละตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก ในการที่จะให้ละความติดข้อง แต่ว่าไม่ใช่ว่าให้ละด้วยความเป็นตัวตน หรือว่าไม่ใช่ละทันที เป็นไปไม่ได้เลย แสดงโทษ แสดงให้ปัญญาเกิดรู้ความจริงว่า ธรรมที่เป็นอนัตตา ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยากจะมีทุกข์ ไม่อยากจะมีการที่ได้สิ่งที่ไม่น่าปรารถนา แต่ไม่มีใครบังคับได้เลย สิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด ให้รู้ตามความเป็นจริง ว่าขณะนั้นมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว มีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิด รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ซึ่งไม่เคยขาดเลยตลอดชีวิต มีธรรมซึ่งเกิด แต่ว่าไม่เคยรู้ กับการที่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ธรรมเกิด แล้วก็มีเหตุปัจจัยให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะละความเข้าใจผิด จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ก็เป็นเรื่องละทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรื่องเรา ซึ่งอยากจะให้เป็นพระโสดาบันวันนี้ หรือว่าให้ประจักษ์การเกิดดับ หรือว่าให้สติปัฏฐานเกิดมากๆ ขณะนั้นก็คือเราทั้งหมด