อกุศล กับ การรับประทานเนื้อสัตว์


    ผู้ฟัง สมมุติเราเคยกินมังสวิรัติ แต่ต่อไปนี้เราคิดจะกินเนื้อสัตว์ ร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่ขาดธาตุอาหาร

    ท่านอาจารย์ เราจะกินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่เราฆ่าสัตว์ ต้องแยกกัน

    ผู้ฟัง เจตนาของเรา ขณะที่เราคิด ไม่ใช่เวลากิน เวลากินไม่คิดถึงเรื่องจะไปฆ่าสัตว์ หรือว่าความตายของสัตว์ ก็คิดแต่ว่าอร่อย แล้วก็เป็นอาหาร แล้วก็รับประทาน

    ท่านอาจารย์ ยับยั้งได้มั้ย ไม่ให้อร่อย

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นปกติ แต่รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง สภาพจิตขณะที่เคยคิดว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ แต่กลับมาคิดว่าต่อไปนี้จะกิน นี่แสดงถึงเจตนาที่จะกิน เจตนาตัวนี้จะเป็นกรรมไหม เพราะเราก็รู้ว่าการกินเนื้อสัตว์ก็จะเป็นกรรมต่อเนื่อง

    ท่านอาจารย์ อกุศลกรรมบถมีอะไรบ้าง อกุศลกรรมบถ มีกินเนื้อสัตว์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีเรื่องฆ่าสัตว์

    ท่านอาจารย์ ก็คนละเรื่อง

    ผู้ฟัง แล้วจะเป็นเหตุอะไรไหม

    ท่านอาจารย์ ก็เราเรียนอะไร ก็ต้องเข้าใจ อกุศลจิต อกุศลกรรม อกุศลกรรมบถ

    ผู้ฟัง อย่างนี้อกุศลจิตไหม

    ท่านอาจารย์ อกุศลจิตคืออะไร อกุศลจิตมีเท่าไหร่ โลภะ โทสะ โมหะ เราก็รู้เองว่าในขณะนั้นว่าเป็นอะไร เราต้องรู้เอง ต้องเป็นปัญญาของเราเองแล้วเป็นเราหรือเปล่าด้วย

    ผู้ฟัง เป็นเรา ที่จะกิน

    ท่านอาจารย์ แล้วเราเรียนอะไร พระธรรมทรงแสดงว่ามีเราไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่าจะต้องอบรม จนกว่าจะไม่มีเรา ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย คิดว่าจะกิน หรือไม่กิน ก็คือขณะนั้นจิตเกิดขึ้นคิด แล้วก็ดับไป แล้วก็มีเห็น มีได้ยิน แต่ละขณะอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เราเลย

    ผู้ฟัง กรรมอยู่ที่เจตนา คือติดตรงนี้

    อ.ประเชิญ ประเด็นนี้ก็น่าสนใจ ที่กล่าวว่า เจตนากินเนื้อสัตว์ แล้วก็เป็นอกุศลใช่ไหม

    ผู้ฟัง กรรมอยู่ที่เจตนา

    อ.ประเชิญ แต่ท่านอาจารย์ก็ได้แยกแล้วว่า มีกรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถเป็นอกุศลกรรม และเป็นอกุศล ที่ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขณะที่ทานเนื้อสัตว์ โดยไม่เป็นกรรมบถ ก็คือเป็นเพียงอกุศลใช่ไหม คือไม่มีเจตนาฆ่า แต่ย้อนกลับว่าในขณะที่ทานอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์หรือมังสวิรัติ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง แล้วก็เจตนาละเว้นเนื้อสัตว์ ก็เป็นกุศล

    อ.ประเชิญ เกี่ยวไหม ไม่เกี่ยว คนละเรื่อง และอีกประเด็นคือถ้าทานเนื้อสัตว์ โดยคิดว่าจะทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์

    ผู้ฟัง เปล่าค่ะ คิดว่าทานเนื้อสัตว์ เราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งไปเพิ่มปริมาณการฆ่าสัตว์

    ท่านอาจารย์ คุณประเชิญกำลังจะให้เข้าใจว่า ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร ใช้คำว่ารับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่ใช่เนื้อสัตว์ก็ตาม ขณะนั้นจิตเป็นอะไร ใช่ไหม

    อ.ประเชิญ ใช่ครับ

    ผู้ฟัง จิตเป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันเลย จะเป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่ใช้เนื้อสัตว์ จิตก็เป็นโลภะ ขณะที่ทาน

    ผู้ฟัง แต่หนูไม่ได้ถามขณะที่ทาน

    ท่านอาจารย์ คุณประเชิญกำลังจะให้เข้าใจความจริง ว่าขณะที่กำลังรับประทานอาหาร ใช้คำว่าอาหาร จะเป็นเนื้อสัตว์หรือไม่ใช้เนื้อสัตว์ก็ตาม ขณะที่กำลังรับประทานนั้น จิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นโลภะ อยากทาน

    อ.ประเชิญ อันนี้ไม่ต่างกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน คือขณะที่ตัดสินใจว่าจะกิน..

    ท่านอาจารย์ คนละขณะ คนละเรื่องด้วย นี่ถามถึงขณะที่กำลังรับประทาน จิตเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ที่เป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่ใช้เนื้อสัตว์ จิตก็เป็นโลภะ เจตนาที่จะรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่ใช้เนื้อสัตว์เจตนานั้นเป็นกุศล หรืออกุศล

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล ก็คือโลภะ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นโลภะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่เป็นเนื้อสัตว์ ก็เป็นโลภะ

    ผู้ฟัง แต่ว่าถ้าเป็นเนื้อสัตว์นี้เป็นโลภะด้วย และก็เบียดเบียนด้วย แต่ถ้ากินมังสวิรัติขณะนั้นไม่ได้เบียดเบียนอะไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่าคุณประเชิญกำลังถามขณะที่กำลังรับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่ใช่เนื้อสัตว์ ก็เป็นโลภะ แล้วคุณอุไรก็บอกว่า ก่อนนั้นก็เป็นอกุศล คือกำลังอยากรับประทาน เพราะฉะนั้นก็ถามอีกว่า ขณะที่กำลังอยากรับประทาน ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือไม่ใช่เนื้อสัตว์ อยากรับประทานนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นโลภะเหมือนกัน พระภิกษุท่านฉันเนื้อสัตว์หรือเปล่า ด้วยสติสัมปชัญญะได้ไหม ตอนนี้จะเป็นกุศลแล้ว ไม่ว่าใครรับประทานอะไรก็ตามแต่ แต่ขณะนั้นมีสติสัมปชัญญะ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนั้นเป็นสติปัฏฐานได้ ประกอบด้วยปัญญาได้ ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นอะไร แต่ผู้ที่ไม่รู้ต่างหากที่หวั่นไหว แล้วก็ไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นขณะไหน ก็ปนกันหมดเลย

    ผู้ฟัง ถ้าหนูกำลังจะเดินเข้าไปในร้านที่เค้ามีปลาอยู่ในตู้ หนูบอกว่าอยากจะทานปลา ตอนนี้จะเป็นบาปแล้วใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ที่ฟังแล้วเป็นปัญญาของตัวเอง ที่จะรู้สภาพจิตในขณะนั้น ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ ความลับไม่มีสำหรับตัวเอง

    มีเราหมดเลย นี่เรากำลังจะเรียนเรื่องจิต และเจตสิก เพื่อให้เข้าถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราแต่ละขณะอย่างละเอียด


    หมายเลข 2288
    5 ต.ค. 2567