นามและรูปอาศัยกันเกิดขึ้นโดยปัจจัย
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนและสภาพธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้างเท่านั้น แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็ตาม อาศัยกันและกันเกิดขึ้นโดยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง สภาพธรรมที่เกิดแล้วจะไม่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิด ไม่มี และสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดแล้ว จะเกิดโดยปราศจากปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นทั้งนามธรรมและรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ต่างกันก็จริง แต่ว่าอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไปโดยละเอียด โดยสภาพของลักษณะของธรรมนั้น ๆ ซึ่งถ้าศึกษาโดยละเอียด ก็จะเห็นได้ว่า ขณะจิตหนึ่ง ๆซึ่งเกิดขึ้นจะมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดขึ้น เช่นเห-ตุปัจจัยที่ได้เคยกล่าวถึงแล้ว ได้แก่เจตสิก ๖ ดวง คือ
-อกุศลเจตสิก ๓ ที่เป็นเหตุได้แก่โลภเจตสิก๑ โทสเจตสิก ๑โมหเจตสิก ๑
-โสภณเหตุ ๓ คือ อโลภเจตสิก๑อโทสเจตสิก ๑อโมหเจตสิก ๑
ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะโลภะเท่านั้น มีเจตสิกอื่นเป็นปัจจัยเกิดร่วมด้วย
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า โลภเจตสิกที่เกิดเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย คือเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเป็นโลภมูลจิตเกิด และทำให้อกุศลเจตสิกอื่น ๆ เกิดร่วมด้วย เช่นทำให้ความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ได้ ทิฏฐิเจตสิก หรือทำให้ความสำคัญตนคือมานะ เกิดร่วมด้วยก็ได้ นอกจากนั้น เวลาที่โลภเจตสิกเกิดกับโลภมูลจิตและเจตสิกอื่น ๆ ซึ่งเป็นสัมปยุตตธรรมเกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นด้วย
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามปกติในชีวิตประจำวันนี้ แต่ละขณะที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าได้ทราบถึงความละเอียดซึ่งสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้นโดยอาศัยสภาพธรรมใดเป็นปัจจัยแล้ว จะทำให้เห็นความเป็นอนัตตาจริงๆ ซึ่งแม้จะเป็นสภาพธรรมที่เกิด – ดับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังต้องอาศัยความละเอียดของปัจจัยหลายปัจจัย สภาพธรรมนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้