อธิบายปรมัตถธรรมโดยละเอียดได้อย่างไร


    ถาม ปรมัตถธรรมมีอธิบายละเอียดอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมมาจากคำว่า ปรม + อัตถ + ธรรม หมายความถึงสภาพธรรมทีทมีลักษณะเฉพาะของตนจริงๆ ซึ่งใครจะเรียกอะไรก็ได้ หรือจะไม่ใช่ชื่อเรียกเลยก็ได้ เช่น ลักษณะที่แข็ง จะใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย หรือไม่เรียกอะไรเลย แต่เวลากระทบสัมผัสลักษณะแข็งนั้นปรากฏ หมายความถึงสภาพที่มีจริงๆ เช่น รสเปรี้ยวมีจริง แต่ต้องอาศัยลิ้มรส ซึ่งทุกคนบริโภคอาหาร แต่ขณะที่บริโภคนั้นก็ไม่ได้สนใจที่จะรู้ว่า แม้แต่รสที่ปรากฏนั้นก็เป็นของจริง เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะใช้คำภาษาไทยง่ายๆ ว่า ปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริง เสียงมีจริง เสียงเป็นปรมัตถธรรม โลภะ ความโลภ ความติดข้องเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เมื่อเป็นปรมัตถธรรมก็หมายความว่า เป็นธรรม ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร เพราะเหตุว่าโลภะก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป โทสะก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ขณะที่เห็นในขณะนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีจักขุปสาท ถ้าเกิดกรรมทำให้จักขุปสาทซึ่งดับแล้วไม่เกิดอีกขณะนี้จะตาบอดทันที ไม่มีการเห็นอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น ทุกคนก็มีรูป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมีจิต คือสภาพรู้ ธาตุรู้ แล้วมีเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เพราะเหตุว่าปรมัตถธรรมนั้นมี ๔ คือ ๑. จิต ๒. เจตสิก ๓. รูป ๔. นิพพาน ถ้าไม่เรียกชื่อ เอาชื่อของทุกท่านในที่นี่ออก แต่ก็ยังมีรูป แล้วมีจิต แล้วยังมีเจตสิก เพราะฉะนั้น จิต เจตสิก รูปเป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ

    นี่เป็นปรมัตถธรรมอย่างย่อ แต่อย่างละเอียดก็จะต้องศึกษาโดยละเอียด แต่ให้ทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง มีสภาพลักษณะปรากฏให้รู้ได้ แล้วไม่จำเป็นต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็ได้ เพราะเหตุว่าแข็ง ภาษาไทยเรียกอย่างหนึ่ง ภาษาอังกฤษเรียกอย่างหนึ่ง ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่นก็เรียกต่างกันไป แต่ลักษณะที่แข็งไม่เปลี่ยน

    เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมที่มีอยู่ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ๓ ปรมัตถ์ คือ จิต เจตสิก รูป ส่วนนิพพานนั้นตรงกันข้าม คือ เป็นสภาพที่มีจริง แต่ไม่เกิด ถ้าพระคุณเจ้าจะแสวงหาปรมัตถธรรมด้วยตัวเองในวันหนึ่งๆ จะพบตลอดเวลา ขณะที่กำลังสัมผัส แข็งมีจริง เป็นปรมัตถธรรม ขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เสียงในขณะที่กำลังได้ยิน มีจริง เป็นปรมัตถธรรม คิดนึกเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม

    เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถ้ากล่าวถึงปรมัตถธรรมที่เกิดดับแล้วมี ๓ คือ จิต เจตสิก รูป แยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ เป็นนามธรรมประเภทหนึ่ง และเป็นรูปธรรมประเภทหนึ่ง สำหรับรูปก็ได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กระทบส่วนใดของกายก็แข็ง กระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็แข็ง นั่นก็เป็นรูปที่ปรากฏให้รู้ได้

    สำหรับจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ เช่น เห็น แต่สำหรับเจตสิกก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต เช่น ขณะที่เห็นแล้วพอใจไม่พอใจ ความพอใจไม่พอใจนั้นเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต


    หมายเลข 2312
    28 ก.ค. 2567