อโหสิกรรม ๖
โดยนัยของพระสุตตันตปิฎก ตามข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ วรรคที่ ๔ นิทานสูตร ซึ่งได้แสดงกรรม ๑๑ คือ แสดงโดยกาลของการให้ผล ๓ ได้แก่
ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ ๑
อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อไป ๑
และอปรปริยายเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปนั้นอีก ตราบใดที่สังสารวัฏฏ์ยังไม่สิ้น ๑
ซึ่งข้อความเรื่องของกรรมอื่น จะไม่ใช่กรรม ๑๑ แต่เป็นกรรม ๑๒ โดยกล่าวถึงอีกกรรมหนึ่ง คือ อโหสิกรรม ซึ่งข้อความในมโนรถปุรนี โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรม แม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ มีข้อความว่า
๑. อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะพิจารณาชีวิตของท่านอย่างละเอียดทีเดียวว่า ที่ยังต้องมีการเกิด แล้วก็ยังไม่จุติ ยังมีการเห็น การได้ยิน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ทุกขณะ แต่ละขณะ ล่วงไปๆ ๆ โดยขณะๆ เรื่อยๆ ก็เพราะเหตุว่ามีกรรมนั่นเองยังเป็นปัจจัยอยู่ และในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แม้พระผู้มีพระภาคเองในคืนที่จะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้ทรงระลึกชาติสักเพียงใดตลอดปฐมยาม ก็ไม่สามารถที่จะจบสิ้นได้
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้วยาวนานมาก และในชาตินี้ก็จะเป็นชาติหนึ่งซึ่งใกล้จะจบสิ้นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังจะต้องมีการเกิด เพราะมีกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผลอีกมากทีเดียวที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวอีกต่อไปนับไม่ถ้วน
ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ใช่พระโสดาบัน การเกิดต้องมีอีกมากมาย เมื่อไรเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อนั้นการเกิดจึงจะยังมีอยู่อีกอย่างมากที่สุด ๗ ชาติ
เพราะฉะนั้นก็ควรจะทราบเรื่องความสลับซับซ้อน ความมากมายของกรรมในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังติดตามให้ผลแม้ในปัจจุบันชาตินี้ได้ โดยที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากนั้น เป็นผลของกรรมใดในชาติใด เพราะเหตุว่าแม้ในชาตินี้เอง แต่ละท่านก็ต่างได้ทำกรรมไม่น้อยเลย ทั้งที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เมื่อรวมในชาติก่อนๆ ย้อนไป ย้อนๆ ๆ ไปอีก ก็จะเห็นได้ว่ากรรมยังมีอีกมากมายเหลือเกินที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยาวนานต่อไป
เพราะฉะนั้น อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก ได้แก่ กรรมได้มีแล้ว คือ ได้กระทำแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว หมายความว่า กรรมในสังสารวัฏฏ์ที่ได้ทำแล้ว ก็ได้ให้ผลไปแล้ว ก็มี ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้ผลไปเลย แต่ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน กรรมที่ได้ทำแล้ว จริง และผลของกรรมก็ได้มีแล้วด้วย หมดไปแล้วกรรมนั้น อย่างหนึ่ง คือ เป็นอโหสิกรรม เพราะเหตุว่ากรรมได้มีแล้ว และผลของกรรมได้มีแล้วด้วย
๒. อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว
หมายความว่า กรรมได้กระทำแล้วจริง แต่ยังไม่ได้ให้ผลในอดีต กรรมในอดีตได้กระทำไปแล้ว แต่ว่าผลของกรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผลในอดีต คอยโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้หรือในชาติต่อๆ ไปก็ได้ แต่กรรมมีแล้ว
เพราะฉะนั้นกรรมมีแล้วนั้นเป็นอโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต
ต่างกับข้อที่ ๑ คือ ประเภทที่ ๑ กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีต ใครตามระลึกได้บ้าง ผลของกรรมในอดีตชาติก่อนๆ ก็ไม่ทราบว่าเกิดมาเป็นใคร ได้รับผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ไปถึงกรรมก่อนนั้นอีก ซึ่งได้ทำแล้ว คือกรรมในอดีตได้มีแล้ว และผลของกรรมในอดีตก็ได้มีแล้ว กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีตอย่างหนึ่ง และกรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต ระลึกถึงชาติก่อนๆ ไม่ได้ก็จริง แต่ให้ทราบลักษณะของกรรมที่กระทำแล้ว ที่เป็นอโหสิกรรม
๓. อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่
คือ กรรมในอดีตให้ผลในปัจจุบัน โดยที่ไม่ทราบอีกเหมือนกันว่า ขณะนี้ที่เป็นผลในปัจจุบันเป็นผลของกรรมใดในอดีต แต่ให้ทราบว่ากรรมนั้นได้กระทำแล้วในอดีต ผลของกรรมนั้นมีอยู่ คือ ในปัจจุบันชาตินี้
ท่านที่กำลังสุขสบาย เป็นผลของกรรมในอดีต ท่านที่กำลังทุกข์ยาก ลำบาก เดือดร้อน ก็เป็นผลของกรรมในอดีต โดย อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่
๔. อโหสิ กัมมํ นัตถิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่
นี่เป็นเรื่องความละเอียดของกรรมจริงๆ ที่แสดงว่า กรรมได้มีแล้ว หมายความถึงกรรมในอดีตได้กระทำแล้ว แต่ว่าไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ
กรรมในอดีตมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ มีแล้ว คือ อโหสิ กฺมมํ กรรมได้มีแล้ว นัตถิ กมฺมวิปาโก ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ ชาติหน้าอาจจะให้ผลก็ได้ กรรมที่ได้กระทำแล้วๆ มาในสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่อาจจะให้ผลในชาติต่อไปได้
เพราะฉะนั้นกรรมนั้นๆ ที่ได้กระทำแล้วในอดีต แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ เป็น อโหสิ กมฺมํ นัตถิ กฺมมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว แต่ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่มีอยู่ในปัจจุบันชาติ แต่จะมีอยู่ในชาติต่อๆ ไปได้
๕. อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี
ประมาทไม่ได้เลย คือ กรรมในอดีตจักให้ผลในอนาคต
เพราะฉะนั้นทุกท่านที่เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันชาติ แล้วก็เข้าใจว่าทำบาปน้อย ทำบุญมาก ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสจะเกิดในอบายภูมิ แต่อย่าลืม อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่ก็จักให้ผลในอนาคต เป็นไปได้ไหมคะ ถ้าจุติจิตเกิด ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้วันหนึ่งวันใด อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันหนึ่งวันใดก็ได้ แล้วก็เกิดในอบายภูมิ จะทราบได้ไหมว่าเป็นผลของกรรมใด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็น อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมนั้นแหละไม่ให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิในชาตินี้ แต่จักมี คือจะให้ผลคืออบายภูมิในอนาคตคือในชาติต่อไปได้
๖. อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักไม่มี
หมายความว่า กรรมในอดีตจะไม่ให้ผลในอนาคต เช่น ท่านพระองคุลีมาล ที่ท่านได้กระทำกรรมไปแล้ว แต่ว่ากรรมนั้นจักไม่ให้ผลในอนาคต ก็เป็น อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก
เพราะฉะนั้นกรรมมีมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ที่ได้กระทำแล้ว และให้ผลแล้วในอดีตก็มี กรรมที่ได้กระทำแล้ว ให้ผลในชาตินี้คือปัจจุบันชาตินี้ก็มี และกรรมที่ได้ทำแล้ว ปัจจุบันชาตินี้ยังไม่ให้ผล แต่จะให้ผลในชาติอนาคตก็มี หรือว่ากรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเอง จักไม่ให้ผลในอนาคตก็มี แล้วแต่ปัจจัยที่ประกอบอีกหลายปัจจัยทีเดียวที่กรรมแต่ละกรรมจะเกิดขึ้นให้ผลได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
นี่คือโดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ คือ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือกรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ