ผู้เจริญสติปัฏฐานรู้ชัดขึ้นเป็นปรกติ
ผู้ฟัง ………
ท่านอาจารย์ แล้วแต่ที่จะระลึกรู้ ไม่ระลึกรู้เลย ระลึกแต่เพียงธาตุก็ได้ หมายความว่า จะระลึกรู้เฉพาะลักษณะที่เป็นธาตุแข็งหรืออ่อนก็ได้ หรือรู้ต่อว่า ธาตุอ่อนหรือแข็งนี้เป็นภายนอก ธาตุอ่อนหรือแข็งนี้เป็นภายใน ไม่จำกัด แล้วแต่ว่าจะเป็นกายหรือเป็นหมวดของธาตุบรรพ แต่ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจความหมายของมหาสติปัฏฐานจริงๆ ที่ไม่เว้น ในพระไตรปิฎกมีแต่มหาสติปัฏฐานไม่เว้นอะไรเลย และอวิชชาความไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รู้เฉพาะเห็นหรือได้ยิน สีก็ไม่รู้ เสียงก็ไม่รู้ ปนกับนามที่รู้เรื่อง ปนกับได้ยิน บางคนเอาเสียงมาเป็นได้ยิน และบางคนระลึกเฉพาะลักษณะของได้ยิน พอมีสติมีแต่ได้ยิน ไม่เคยรู้ลักษณะของเสียงเลย บางคนระลึกที่เสียงเท่านั้น ไม่เคยระลึกรู้สภาพที่รู้ทางหูที่ได้ยินเลย เพราะฉะนั้นพอมีสติมีแต่เสียง ไม่เคยรู้จักได้ยินว่าเป็นอย่างไร มีแต่ความสงสัย แล้วอย่างนี้เป็นปกติไหม ผู้ไม่เจริญสติปัฏฐานยังทราบว่า เสียงก็มี ได้ยินก็มี มีทั้ง ๒ อย่าง แต่ยังไม่แยกรู้ลักษณะโดยเด็ดขาดชัดเจนว่า เสียงที่ไม่ใช่ได้ยินต่างกันอย่างไร ได้ยินที่ไม่ใช่เสียงต่างกันอย่างไร การรู้เรื่องของเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียง แต่เป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง เกิดทีหลัง เวลาดับผู้นั้นสามารถรู้ได้ว่า เสียงดับ หรือได้ยินดับ หรือว่า รู้เรื่องรู้ความหมายดับ เพราะพิจารณารู้ชัดเป็น อสัมโมหสัมปชัญญะ ไม่ได้เข้าใจผิดว่า เสียงเป็นได้ยิน หรือ การรู้ความหมายเป็นเสียง เพราะบางคนกล่าวว่า เสียงดับจริงๆ ง่ายมาก แต่ว่าเสียงดับหรือรู้เรื่องดับ เพราะทันทีที่เสียงดับก็รู้ว่า เป็นอะไรแล้วสิ่งนั้นก็หมดไป เมื่อยังไม่เจริญสติปัฏฐาน ความรู้ก็เป็นปกติธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้เจริญสติปัฏฐานรู้ชัดขึ้นแต่ไม่ใช่ผิดปกติว่า เมื่อสติเกิดมีแต่ได้ยินไม่มีเสียงเลย หรือมีแต่เสียงแล้วสงสัยมากว่า ได้ยินมีลักษณะอย่างไร นั่นไม่ใช่ปัญญา ถ้าเป็นปัญญาแล้วที่จะรู้เฉพาะได้ยินอย่างเดียวไม่รู้เสียงด้วยนั้นผิด เพราะอะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าต่างกัน อาจจะเข้าใจว่าเสียงเป็นได้ยิน คิดว่า รู้ได้ยินแล้วก็ได้ เพราะเหตุว่า ไม่เคยรู้เลยว่าเสียงเป็นอย่างไร แต่ผู้ที่จะรู้ชัดในลักษณะของได้ยิน รู้ชัดในลักษณะของเสียง รู้ชัดในลักษณะของนามที่รู้เรื่อง ผู้นั้นรู้ชัดทั้งนามได้ยิน ทั้งเสียง ทั้งสภาพที่รู้ความหมายของเสียง รู้แยกกันได้จริงๆ เพราะเป็นนามเป็นรูปแต่ละชนิด นามได้ยินไม่ใช่นามรู้เรื่องไม่ใช่เสียง นามรูปที่ติดกันแน่นทั้ง ๖ ทางนั้นปัญญาพิจารณาแยกกระจัดกระจายความเป็นตัวตนออกหมด ไม่ติดกันที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนอีกต่อไป