โลกิยวิบากเป็นจิตที่ปราศจากกำลัง
จิตเกิด – ดับสืบต่อกันอยู่เรื่อย ๆ ในวันหนึ่ง ๆ
โดยชาติ จิตที่เป็นกุศลก็มี จิตที่เป็นอกุศลก็มี จิตที่เป็นวิบากก็มี จิตที่เป็นกิริยาก็มี
เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้ทราบว่า เวลาที่เป็นวิบากจิต ที่เป็นโลกียวิบากฉันทะซึ่งเกิดกับโลกียวิบาก หรือวิริยะซึ่งเกิดกับโลกียวิบาก หรือปัญญาก็ตามซึ่งเกิดกับโลกียวิบาก ไม่เป็นอธิบดี คือ ไม่เป็นอธิปติปัจจัย ไม่เป็นใหญ่ ไม่เป็นหัวหน้า
ฟังดูเหมือนเรื่องอื่นแต่ให้ทราบว่าเป็นชีวิตประจำวันจริง ๆเพราะเหตุใดเพราะเหตุว่า จิตที่เป็นชาติวิบากซึ่งเป็นโลกียวิบากทั้งหมดทำอะไรไม่ได้จะทำกุศลก็ไม่ได้จะทำอกุศลกรรมใด ๆ ก็ไม่ได้ ไม่ใช่โลภะไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ไม่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล ไม่เป็นไปในภาวนา
ตั้งแต่ขณะปฏิสนธิ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนโดยมีกรรมแล้วแต่จะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมเป็นปัจจัยทำให้อกุศลวิบากหรือกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิเกิดขึ้น ในภูมิมนุษย์เป็นกุศลวิบากเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิขณะนั้นทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่าฉันทเจตสิกก็เกิดร่วมกับมหาวิบากจิตซึ่งประกอบด้วยโสภณเหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่บกพร่องไม่พิการ ตั้งแต่กำเนิด
แต่ว่าถึงแม้ว่าฉันทเจตสิกจะเกิดกับวิบากจิต วิริยเจตสิกจะเกิดกับวิบากจิต ทำกิจอะไรได้ไหม ในชั่วขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับแม้ว่าจะเป็นมหาวิบากเป็นผลของกุศลที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่พิกลพิการตั้งแต่กำเนิดแต่โดยสภาพโดยชาติของจิต ซึ่งเป็นวิบากคือเป็นจิตซึ่งเกิดขึ้นเป็นผลซึ่งสุกงอมของกรรมซึ่งทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป วิบากจิตทั้งหมด ให้ทราบว่าเป็นจิตที่ไม่มีกำลัง โดยฐานะซึ่งไม่สามารถจะทำให้วิบากเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุว่า วิบากจิตเองเป็นผลของกรรมซึ่งสุกงอมแล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ล่วงหล่น คือ ดับไป ไม่เป็นปัจจัยให้วิบากต่อ ๆ ไปเกิดได้ ไม่เหมือนกับกุศลจิตและอกุศลจิตซึ่งมีกำลัง
เพราะฉะนั้นวิบากจิตนอกจากทำกิจปฏิสนธิแล้วก็ดับ ปัญญาในขณะนั้นก็ทำกิจอะไรไม่ได้จะเป็นอธิปติเป็นอธิบดีเป็นหัวหน้าอะไรก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นเพียงชาติวิบาก เป็นผลของกรรมเกิดแล้วก็ดับ เมื่อปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นวิบากจิตดับแล้วภวังจิตเกิดสืบต่อเป็นวิบากอีก เช่นในขณะที่กำลังนอนหลับสนิท จะไม่ปรากฏว่าเจตสิกใดเป็นอธิปติหรือเป็นหัวหน้าเลย เพราะเหตุว่าเจตสิกทั้งหมดเป็นวิบากด้วยกัน พร้อมทั้งจิตก็เป็นวิบากเกิดขึ้นเพราะความสุกงอมของกรรมทำให้วิบากจิตเกิดแล้วก็ดับไป
แต่ท่านผู้ฟังขอให้พิจารณาดูว่าถ้าไม่รู้ว่าวิบากนี้ปราศจากกำลัง ไม่มีกำลังอะไรเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นผลของกรรม โดยการปฏิสนธิ และเป็นภวังค์ แล้วต่อจากนั้น ก็เป็นการเห็นบ้างการได้ยินบ้าง การได้กลิ่นบ้าง การได้ลิ้มรสบ้าง การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง แต่ปรารถนาวิบากกันมากเหลือเกิน ที่จะให้เป็นกุศลวิบากโดยลืมว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นจิตประเภทที่ไม่มีกำลังอะไรเลย เพียงเกิดขึ้นรู้อารมณ์แล้วก็ดับเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นโลกียวิบากทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นปฏิสนธิจิต ภวังคจิตหรือว่าจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉนจิตสันตีรณจิตทั้งหมดซึ่งเป็นวิบาก เจตสิกที่เกิดพร้อมด้วย ไม่เป็นอธิปติปัจจัย ตามเหตุตามผลตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวันซึ่งจะเข้าใจตัวท่านละเอียดขึ้น เมื่อได้ทราบกำลังของเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตแต่ละประเภทที่จะเห็นความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นสำหรับสหชาตาธิปติ ท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่าได้แก่ ฉันทเจตสิก ๑ วิริยเจตสิก ๑ จิต ๑ และวิมังสะคือ ปัญญาที่เกิดกับชวนจิต ๕๒ ประเภทเท่านั้น จำนวนยังไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่ให้ทราบว่าที่จะเป็นอธิปติมีกำลัง เป็นหัวหน้า เป็นปัจจัยที่จะชักจูงให้สภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย ต้องในขณะที่เป็นชวนจิต แต่โดยความละเอียด ก็ยังต้องเว้นอีกว่า เว้นจิตซึ่งปราศจากกำลัง