เตมียชาดก ตอนที่ ๒
เตมิยกุมารลูกรัก พ่อ และแม่รู้ว่า ลูกไม่เป็นใบ้ เพราะปาก หู และเท้าอย่างนี้ไม่ใช่ของคนใบ้ คนหนวก และคนง่อยเปลี้ยเลย ลูกเป็นบุตรที่พ่อ และแม่ปรารถนา จะได้มา ลูกอย่าให้พ่อแม่ต้องพินาศเสียเลย จงปลดเปลื้องข้อครหาจากราชสำนัก ในชมพูทวีปทั้งสิ้นเถิด
พระกุมารนั้น แม้พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องอยู่อย่างนี้ ก็บรรทมทำเป็นไม่ได้ยิน
ลำดับนั้นพระราชารับสั่งให้บุรุษผู้ฉลาดตรวจดูพระบาททั้งสอง ช่องพระกรรณทั้งสอง พระชิวหา และพระหัตถ์ทั้งสองแล้ว ทรงสดับคำที่อำมาตย์กราบทูลว่า
บัดนี้ผู้ชำนาญการทายลักษณะกล่าวว่า ผิว่าพระบาทเป็นต้นของพระกุมารนี้ เหมือนของคนไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น พระกุมารนี้ก็จะไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย ใบ้ และหนวกจริง เห็นจะเป็นกาลกรรณี เมื่อคนกาลกรรณีเช่นนี้อยู่ในพระราชวัง จะปรากฏอันตราย ๓ อย่าง คือ อันตรายของชีวิต ๑ อันตรายของเศวตฉัตร ๑ อันตรายของพระมเหสี ๑ แต่ในวันประสูติเพื่อมิให้พระองค์ทรงเสียพระทัยจึงทำนายว่า กุมารนี้มีบุญลักษณะครบถ้วน
พระราชาทรงกลัวภัยจึงมีพระบัญชาว่า พวกท่านจงไป ให้กุมารนั้นบรรทม ในรถอวมงคล นำออกทางประตูหลัง แล้วฝังเสียในป่าช้าผีดิบ
พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ความปรารถนาของเราเป็นเวลาช้านานจักถึงความสำเร็จ
เมื่อพระนางจันทาเทวีทรงทราบว่า พระราชามีพระบัญชาให้นำพระกุมารไปฝัง จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลขอพรให้ทรงประทานราชสมบัติแก่โอรส พระราชาตรัสว่า โอรสของพระนางเป็นกาลกรรณี ให้ราชสมบัติไม่ได้
พระนางทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงให้ตลอดชีวิต ก็ขอทรง โปรดให้ ๗ ปีเถิด พระราชาตรัสว่า ให้ไม่ได้
พระนางทูลว่า ขอได้ทรงโปรดให้ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน ครึ่งเดือน จนถึง เพียง ๗ วันเถิด
พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้ได้
พระเทวีตกแต่งพระโอรส ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า นี้เป็น ราชสมบัติของเตมิยกุมาร แล้วให้พระโอรสขึ้นคอช้าง ยกเศวตฉัตรให้พระโอรส ซึ่งทำประทักษิณพระนครเสด็จกลับมา แล้วบรรทม ณ สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งแล้ว พระนางจันทาเทวีทรงขอร้องอยู่ตลอดคืนว่า พ่อเตมิยะ แม่นอนไม่หลับมา ๑๖ ปีแล้ว ร้องไห้เพราะลูกจนนัยน์ตาบวม หัวใจของแม่เพียงจะแตกด้วยความเศร้าโศก แม่รู้ว่าลูกไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น ลูกอย่าทำให้แม่หมดที่พึ่งเลย
พระเทวีทรงขอร้องโดยทำนองนี้ล่วงไป ๖ วัน
ในวันที่ ๖ พระราชาตรัสเรียกสุนันทสารถีมาแล้วตรัสว่า พรุ่งนี้จงนำพระกุมารโดยรถอวมงคลออกไปแต่เช้าตรู่ ฝังลงในแผ่นดินที่ป่าช้าผีดิบ กลบดินให้เรียบ แล้วจงกลับ
พระเทวีได้ฟังดังนั้นตรัสว่า ลูกเอ๋ย พระเจ้ากาสีมีพระบัญชาให้ฝังลูกที่ป่าช้า ผีดิบในวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ลูกก็จักถึงความตาย
พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้น จึงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งที่การทรงกระทำความเพียรถึง ๑๖ ปีนั้น ใกล้จะถึงที่สุดแล้ว แต่พระหทัยของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ได้เป็นดุจมีอาการแตกสลายไป
เมื่อราตรีนั้นผ่านไป สารถีนำรถมาแต่เช้าตรู่ จอดไว้ที่ประตู เข้าไปทูล พระนางจันทาเทวีว่า ข้าแต่พระเทวี พระองค์อย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย หม่อมฉัน ทำตามพระราชบัญชา แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท
พระเทวีทรงพระกันแสงด้วยพระสุรเสียงดัง แล้วทรงล้มลง
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงมองดูพระมารดา ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูด พระมารดาจักเศร้าโศกสุดกำลัง แม้อยากจะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ด้วยพระดำริว่า หากเราจักพูด ความพยายามที่เราทำมาตลอด ๑๖ ปีก็จะไร้ผล แต่เมื่อเราไม่พูด จักเป็นปัจจัยแก่ตัวเรา แก่พระมารดา และพระบิดา
สารถีนำพระโพธิสัตว์ขึ้นรถ แล่นไปยังที่ประมาณ ๓ โยชน์ แนวป่า ณ ที่นั้น ได้ปรากฏแก่สารถีดุจป่าช้าผีดิบ สารถีคิดว่า ที่นี้ดีแล้ว จึงหยุดรถจอดไว้ข้างทาง แล้วลงจากรถ เปลื้องเครื่องประดับของพระโพธิสัตว์ออกห่อ วางไว้ ถือเอาจอบ เริ่มขุดหลุมไม่ไกลนัก
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อสุนันทสารถีกำลังขุดหลุม คิดว่า นี้เป็นความพยายามของเรา จึงลุกขึ้น แล้วบีบพระหัตถ์ และพระบาทของพระองค์ ทรงทราบว่าเรามีกำลังอยู่ จึงทรงดำริจะเสด็จลงจากรถ
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินไปๆ มาๆ เล็กน้อย ทรงทราบว่า มีกำลังพอที่จะไปได้แม้ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ จึงทรงจับรถข้างท้ายแล้วยกขึ้นดุจยานน้อยสำหรับเด็กเล่น ทรงสังเกตว่า หากสารถีจะพึงทำร้ายพระองค์ พระองค์ก็มีกำลังพอที่จะป้องกันการทำร้ายได้
ซึ่งข้อความละเอียดตอนนี้ ท่านผู้ฟังจะอ่านได้จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก
พระโพธิสัตว์ทรงแสดงธรรมแก่นายสารถีว่า
ท่านอาศัยเราผู้เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้นเป็นอยู่ ดูกร สารถี หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม บุคคลพึงนั่งหรือพึงนอนใต้ร่มไม้ใด ไม่พึงหักกิ่งไม้นั้น เพราะผู้ทำลายมิตรเป็นคนลามก พระราชาเหมือนต้นไม้ เราเหมือนกิ่งไม้ ดูกร สารถี ท่านเหมือนบุรุษที่เข้าไปอาศัยร่มเงา หากท่านฝังเรา ในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม
สารถีได้ฟังก็ทูลอ้อนวอนให้พระโพธิสัตว์เสด็จกลับ
เพราะรู้แล้วว่า ไม่ได้เป็นใบ้เลย
พระองค์จึงตรัสถึงเหตุที่ไม่เสด็จกลับ และความพอใจในบรรพชา ตลอดถึงเรื่องราวของพระองค์ในภพที่ล่วงไปแล้วมีภัยในนรกเป็นต้น
แม้เมื่อสารถีนั้นประสงค์จะบวชเพราะธรรมกถานั้น และเพื่อการปฏิบัตินั้น พระองค์จึงตรัสคาถานี้ว่า
ดูกร สารถี ท่านจงนำรถกลับไป แล้วเป็นคนไม่มีหนี้กลับมา เพราะบรรพชาเป็นของคนไม่มีหนี้ ข้อนี้ฤๅษีทั้งหลายสรรเสริญแล้ว
แล้วทรงส่งสารถีกลับไปทูลแด่พระราชา
สารถีนำรถ และเครื่องอาภรณ์ไปเฝ้าพระราชา ทูลความนั้นให้ทรงทราบพระราชาเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยจตุรงคเสนา นางสนม ชาวพระนคร และชาวชนบท เพื่อไปหาพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ถือเพศเป็นดาบส นั่งบนเครื่องลาดทำด้วยไม้ ยังสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิด ประทับนั่งในอาศรมด้วยความสุขในการบรรพชา
แม้พระเจ้ากาสีเสด็จไปหาพระโพธิสัตว์ แล้วทรงเชื้อเชิญพระโพธิสัตว์ ให้ครองราชสมบัติ เตมิยบัณฑิตทรงปฏิเสธ ทรงแสดงธรรมให้พระราชาเกิดสังเวช ในความเป็นของไม่เที่ยง ในโทษของกามอันเป็นของต่ำช้าด้วยอาการหลายอย่าง
พระราชาทรงสลดพระทัย และทรงผนวช พร้อมด้วยพระนางจันทาเทวี และอำมาตย์บริวารเป็นอันมาก บุคคลทั้งหมดนั้นเมื่อสิ้นชีวิตก็เกิดในพรหมโลก
ข้อความตอนท้ายมีว่า
เทพธิดาผู้สิงสถิต ณ เศวตฉัตรในครั้งนั้น ได้เป็นนางอุบลวรรณาในครั้งนี้ สารถี คือ พระสารีบุตรเถระ พระมารดา และพระบิดา คือ ตระกูลมหาราช บริษัททั้งหลาย คือ พุทธบริษัท เตมิยบัณฑิต คือ พระโลกนาถ
อธิษฐานบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ถึงที่สุดในจริยานี้
คือ เป็นอธิษฐานปรมัตถบารมี
แสดงให้เห็นว่า ในแต่ละชาติ ชาติไหนใครจะสะสมบารมีไหนอย่างอุกฤษฏ์ แม้อธิษฐานบารมี ความตั้งใจมั่นในกุศล ก็เป็นไปในชาติหนึ่งๆ ตามกรรมที่ได้สะสมให้เกิดเป็นบุคคลนั้นๆ ในชาตินั้น ซึ่งท่านผู้ฟังก็เป็นผู้ที่กำลังเจริญบารมีแน่นอน แต่บารมีไหน ก็จะต้องตรวจสอบว่า มีความมั่นคงในบารมีใด หรือยังขาดการ เห็นประโยชน์ในบารมีใดบ้าง
ที่มา ...