ฟังเพื่อให้เข้าใจขึ้น
ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังฟัง คงจะไม่ทราบว่า ฟังเพื่อเข้าใจขึ้นในลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่ฟังด้วยความประสงค์ที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็รู้เฉพาะอย่างๆ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราจะไปบังคับบัญชาให้ระลึกที่สภาพนั้น ระลึกที่สภาพนี้ ให้เกิดขึ้นเมื่อนั่น เมื่อนี่ไม่ได้เลย แต่ฟังเพื่อละความไม่รู้ แล้วก็ละการที่เคยเข้าใจว่าจะต้องมีเราที่ทำ เพราะว่าปกติก็เข้าใจว่าปฏิบัติก็คือทำ แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง โดยที่ว่าขณะที่ฟังนี้เอง ขณะใดที่เริ่มเข้าใจก็หมายความว่าขณะนั้นค่อยๆ ลดละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจ และความสงสัย เราไม่ใช่ไปหวังว่าให้ทุกคนที่นั่งที่นี่ ระลึกที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดในขณะนี้ แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรม และการที่รู้ว่าเป็นธรรม จะเห็นได้ว่าความรู้ที่ฟัง และพิจารณาแล้วแม้ในขั้นการฟังจะเพิ่มขึ้นมาก เช่นเราเคยได้ยินคำว่าอายตนะ แต่ว่ารู้แต่เพียงคำแปล และก็รู้ว่าอายตนะ ก็ได้แก่ ตา จักขุปสาท กับรูปที่กำลังปรากฏ เมื่อกระทบกันก็ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น เราก็ฟังเรื่องของสภาพธรรม ซึ่งดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไร ทุกคน "เห็น" เป็นธรรมดา "ได้ยิน" เป็นธรรมดา แต่ความจริงไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่คิด เพราะเหตุว่าธรรมดาที่คิด คือเราเห็น นี่คือธรรมดาของความไม่รู้ แต่ว่าธรรมดาของธรรมก็คือว่าไม่มีเราเลย และก็สภาพธรรมที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัย เฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดูเหมือนธรรมดา ความจริงไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่เคยคิด เพราะว่าเพียงแต่เกิดขึ้นปรากฏเป็นโลก เป็นสีสันวรรณะ เป็นเสียงต่างๆ เป็นกลิ่นต่างๆ แต่ทุกอย่างก็ดับไปหมด
นี่คือการที่จะต้องเข้าถึงความจริงอันนี้ ถึงจะประจักษ์ได้ว่าเราฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูก และเพื่ออบรมเจริญปัญญาที่จะถึงการประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้ แต่เมื่อไหร่ไม่ได้กำหนด เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจแล้ว เราไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาให้ประจักษ์แจ้งความจริงนี้ได้เลย แม้แต่เพียงแข็ง ปรากฏอยู่แท้ๆ เลย รู้แค่ไหน รู้แค่ได้ยินว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ปรากฏได้ทางกาย มีลักษณะที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือขั้นฟัง รู้ขั้นฟังแค่นี้ แต่ว่าตามความเป็นจริง เวลาที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่าความรู้ขั้นนี้ ไม่ใช่ความรู้ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งเพียงแค่นี้ แต่ทรงประจักษ์แจ้งมากกว่านี้ จึงได้ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้น วันหนึ่งก็คงจะถึง แต่ว่าต้องอาศัยการฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนี้แข็งเป็นธรรมดาไหม
ผู้ฟัง เป็นธรรมดา แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นแข็ง คือไม่สังเกต ไม่มีสติ
ท่านอาจารย์ ธรรมดาที่ลักษณะของแข็งปรากฎ แต่ความรู้ว่าแข็งเป็นธรรม เพียงขั้นฟังถูกต้องไหม (ถูกต้อง) ลักษณะแข็งปรากฎ แต่จะต้องอบรมความรู้ขั้นนี้ด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งเมื่ออบรมแล้ว มีความเข้าใจถูกต้อง แม้ขั้นฟังว่าขณะที่แข็งปรากฎ สิ่งอื่นไม่ได้ปรากฎเลย จริงไหมขั้นฟัง ถ้าขั้นฟังจริง ว่าตามความเป็นจริงขณะที่แข็งปรากฏ สิ่งอื่นไม่ปรากฎปัญญาต้องอบรมถึงระดับที่สภาพธรรมนี้ปรากฎจริงๆ อย่างนี้ นี่คือเห็นความต่างกันของปัญญาขั้นฟัง กับปัญญาขั้นที่สติสัมปชัญญะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏทางมโนทวาร ด้วยปัญญาที่แทงตลอดว่าขณะนั้นไม่มีโลกเลย มีแต่สภาพรู้กับสิ่งที่กำลังปรากฎ นี่ขั้นหนึ่ง
แล้วต้องอบรมจนชินกับลักษณะนั้น จนกระทั่งประจักษ์การเกิดดับ เพราะว่าสภาพธรรมที่จะปรากฏความเกิดดับได้ ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ที่ต้องการ ที่จะพยายามจะไปเพ่ง จะไปเพียรให้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฎทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั่นคือเรา เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่จะถึง แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่าเริ่มระลึกทั่ว ในแต่ละทาง และความเข้าใจมั่นคงในลักษณะของความเป็นนามธรรม และรูปธรรม เพิ่มขึ้น ในสภาพนั้นๆ เช่นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ไม่ว่าจะปรากฏรู้ลักษณะของสภาพที่ปรากฏทางตาหรือทางหู สภาพรู้ก็เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ซึ่งมืดสนิท แต่สิ่งที่ปรากฎ ปรากฎเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ไม่ใช่ตัวสภาพรู้ เพราะว่าสภาพรู้ไม่มีสีสันวรรณะต่างๆ เลย
ก็แสดงให้เห็นว่ากว่าจะชิน จนกระทั่งสภาพธรรม ปรากฎตามความเป็นจริง ต้องปรากฎไปอีกจนกว่าจะถึงการละคลายการยึดถือสภาพนั้นๆ ว่าเป็นเรา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าที่ปัญญาจะอบรม แล้วก็สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ ก็มาจากสิ่งที่มีจริงๆ ที่ไม่เคยรู้ แล้วค่อยๆ ฟัง จนกระทั่งค่อยๆ รู้ จนกระทั่งค่อยๆ ถึงเฉพาะด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นปฏิปัติธรรม ถ้าใช้คำว่าปฏิปัติ ไม่ใช่ปริยัติ ปริยัติเพียงฟังเรื่องราว แต่ปฏิปัติก็คือว่าไม่ใช่เรา แต่สติ และมรรคที่เกิดร่วมกัน ก็ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม และสัมมาทิฏฐิ ปัญญาก็เข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะชิน
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปหวังว่าจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมโดยรวดเร็ว หรือว่าจะละคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฎ ว่าเป็นเราได้โดยรวดเร็ว แต่ต้องฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าขณะไหนหลงลืมสติ กับขณะไหนสติเกิด