สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ
ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่รวมกันแล้วก็เกิดความทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือแม้แต่คำภาษาที่ใช้ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่เป็นบัญญัติ หมายความว่าเป็นสิ่งที่กล่าวขานให้รู้ความหมายของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นชื่อทั้งหมดเป็นบัญญัติ แต่สภาพธรรมแม้ไม่มีชื่อก็มีลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ แต่จำเป็นต้องใช้ชื่อ เพื่อที่จะได้ให้เข้าใจว่า หมายความถึงสภาพธรรมอะไร ทุกคนมีชื่อหมดเลย ใช่ไหมคะ ความจริงก็คือขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แล้วจะเรียกยังไงคะ ถ้าไม่มีชื่อทำให้สะดวกขึ้น ขันธ์ทางซ้าย ขันธ์แถวที่ ๖ หรืออะไรอย่างนี้ ก็ลำบาก หรือว่าขันธ์ ๕ สร้างพระวิหารเชตวันอย่างนี้ แต่ถ้ากล่าวว่าท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างพระวิหารเชตวัน เราก็เข้าใจได้ แล้วก็ไม่เข้าใจผิดว่า หมายถึงขันธ์ ๕ ไหน ก็ขันธ์ ๕ ที่ใช้คำว่า ท่านอนาถบิณฑิกะ ใช้ชื่อนั้นเป็นผู้สร้าง
นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจว่า มี ๒ อย่าง สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ถ้าสมมติสัจจะก็เป็นบัญญัติ ถ้าปรมัตถสัจจะก็เป็นปรมัตถ์ พอจะเข้าใจความต่างของสัจธรรมที่เป็นปรมัตถสัจจะกับสมมติสัจจะว่า เพราะถ้าเป็นปรมัตถสัจจะหมายความถึงเป็นปรมัตถธรรม มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถ์ แต่ถ้าเป็นสมมติสัจจะก็คือเป็นสิ่งที่มีจริง โดยคำที่ใช้ให้เข้าใจความหมายนั้นเท่านั้น เช่น ถ้วยแก้วเป็นสัจจะไหนคะ ปรมัตถสัจจะหรือสมมติสัจจะ ถ้วยแก้ว สมมติสัจจะ จาน ช้อน ซ้อมพวกนี้ก็สมมติสัจจะ แต่ลักษณะที่แข็ง เป็นปรมัตถสัจจะ
เพราะฉะนั้นก็สามารถจะแยกว่า สิ่งที่มีลักษณะจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรม จริงโดยความที่เป็นลักษณะนั้น ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นปรมัตถสัจจะ