จิตทุกประเภทต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย


    ผู้ฟัง สภาพธรรมใดปรากฏ เรามีสติกำหนดถึงสภาพธรรมอันนั้น คล้ายๆ ว่าจิตนี้ไม่มีเจตสิกมาเสริมแต่ง ความคิดไม่มีอะไรมาเสริมแต่ง หรือไม่มีสังขารมาเสริมแต่ง มีจิตล้วนๆ ก็จะเป็นลักษณะจิตที่มันเฉิ่มๆ คือไม่มีอะไรปรุงแต่งเลย เฉยๆ เข้าใจถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ถูก เพราะว่าจิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้เลย ไม่ว่าจิตประเภทไหนทั้งสิ้น ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง พอเรากำหนดสภาพรู้ จิตสังขารจะไม่มี ถูกไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม เป็นเรื่องของปัญญา ที่จะต้องรู้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมทั้งหมด ก็เพื่อที่จะเข้าใจถูก ซึ่งเป็นปัญญา แล้วก็เวลาที่ปัญญาเจริญขึ้นก็รู้ เพราะว่าเมื่อเป็นปัญญาแล้วต้องรู้ ถ้าเป็นปัญญาแล้วที่จะไม่รู้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่ไม่รู้ ขณะนั้นต้องไม่ใช่ปัญญา

    ผู้ฟัง ผมเคยพยายามฝึกตัวเอง ฝึกไม่ให้จิตมีจิตสังขาร

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ค่ะ ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง

    ผู้ฟัง มีอีกคำถามหนึ่ง ความจริงผมติดตามผลงานของอาจารย์จริงจังเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ผมเข้าไปอยู่ในป่า แล้วก็มีวิทยุเครื่องหนึ่ง เปิดของอาจารย์ และได้ฟังติดต่อถึงทุกวันนี้ แล้วก็ทุกวันนี้ เวลา ๑๘ นาฬิกา ก็ต้องเข้าไปในห้อง แล้วก็ทุ่มครึ่งก็จะเข้าไปในห้อง ฟังสองเวลา ฟังของอาจารย์อยู่ ขอบอกอาจารย์ให้อาจารย์ได้ชื่นใจ ว่าผมได้พบทางปฏิบัติที่ค่อนข้างจะมั่นใจว่าใช่

    ท่านอาจารย์ ก็ขออนุโมทนา แต่ว่าต้องฟังต่อไปอีก ขอยกตัวอย่างเพราะว่าถ้าบอกว่าจิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ ทุกครั้งที่จิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย พูดเท่านี้ก็คงจะไม่พอ นอกจากขอถามว่าขณะนี้ ที่มีจิต มีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยหรือเปล่า อย่างในขณะที่เห็นหรือได้ยิน เป็นต้น จะมีความรู้สึกเฉยๆ บ้างไหม สุขบ้างไหม ทุกข์บ้างไหม โทมนัสบ้างไหม โสมนัสบ้างไหม

    ผู้ฟัง คำพูดที่อาจารย์พูดนั้น ถ้าหากว่าเรากันของพวกนั้นออกไปให้หมด

    ท่านอาจารย์ จะกันไม่ได้เลย ธรรมไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้เป็นอย่างอื่นได้ ในเมื่อขณะที่เห็น มีความรู้สึกเกิดร่วมด้วย จะมีตัวตนไปกันไม่ให้มีความรู้สึกนั้น ผิดแล้ว ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นธรรมเป็นอย่างไร ปัญญาก็รู้ตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้นต้องเป็น ผู้ตรง เช่นขณะเห็น จำได้ไหม จำสิ่งที่เห็นได้ไหม (อันนี้ใช่) เพราะฉะนั้นปราศจากเจตสิกไม่ได้เลย เพราะว่าสัญญาหรือลักษณะที่จำก็เป็นเจตสิก นี่เป็นเครื่องยืนยันที่จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจ แม้ว่าเราจะไม่รู้ชื่อของ เจตสิกอื่นๆ ไม่รู้ลักษณะของเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเกิดพร้อมกันในขณะนั้น เพราะว่าผัสสเจตสิกไม่รู้ เจตนาเจตสิก มนสิการเจตสิก พวกนี้ เมื่อไม่ปรากฏให้รู้ ก็ไม่รู้ แต่เวทนาความรู้สึกมี เพราะฉะนั้นความรู้สึกจะเกิดกับจิตเสมอ จะไม่ไปเกิดกับรูปเลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่จิตประเภทหนึ่งประเภทใดเกิด ก็จะต้องมีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดในสิ่งที่จิต และเจตสิกนั้นกำลังรู้ เพราะฉะนั้นจิตกับเจตสิกไม่ได้แยกกันเลย แล้วจะไปทำให้แยกก็ไม่ได้ ถ้าทำให้แยก ก็คือผิด ธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วจะทำให้เป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อธรรมเป็นจริงอย่างนั้น ก็อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจถูกในลักษณะนั้น ว่าเป็นอย่างนั้น


    หมายเลข 2545
    23 ก.ย. 2567