อบรมปัญญาให้รู้ เข้าใจ และประจักษ์ได้
ขณะนี้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน โดยที่ไม่มีใครรู้ลักษณะของจิต ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ แต่ว่าปัญญาสามารถอบรมได้ สามารถเข้าใจได้ สามารถรู้ได้ สามารถประจักษ์ได้ เพราะฉะนั้นการเป็นผู้ที่ละเอียดจะทำให้เข้าใจในพุทธพจน์โดยที่ไม่มีการค้านกันเลย เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติก็ต้องเป็นอนัตตา และปัญญาก็เป็นสภาพที่รู้แจ้ง รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งในขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งไม่ใช่ธรรม แล้วก็ใช้คำหลายคำเพื่อที่จะให้ปัญญารู้ชัดขึ้นเป็นธาตุธา-ตุถ้าใช้คำว่าธาตุ ทุกคนก็เข้าใจว่าไม่มีของใคร เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง และมีลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งปัญญาสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ถ้าศึกษาวิชาการอื่น ก็เป็นแต่เพียงเรื่องราวของสภาพปรมัตถธรรม เป็นความทรงจำเรื่องสภาพธรรม แต่ว่ามีเราที่กำลังจำ ที่กำลังคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่ความรู้จริงๆ
เพราะฉะนั้นปัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่เห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งมีหลายขั้น แต่ว่าขั้นที่จะทำให้เห็นถูกต้องว่า เป็นปรมัตถธรรม หรือเป็นอภิธรรมก็ต้องเป็นสติปัฏฐาน ซึ่งขณะนั้นปัญญาสามารถที่จะพิจารณารู้ ลักษณะของสิ่งที่สติระลึกได้ ต้องให้สอดคล้องกันทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มิฉะนั้นเราจะศึกษาทำไมว่า สภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับ ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ได้ในขณะนี้ และการศึกษาว่า สภาพธรรมเป็น จิต เจตสิก รูป เกิดดับอย่างรวดเร็วแต่ละทวาร คือแต่ละทาง ปัญญาก็ต้องสามารถรู้ตรงตามความเป็นจริงอย่างนั้นด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องตรงทั้งปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ