พระอรหันต์และปุถุชน กับ กิริยาจิต
อ.สมพร เรื่องกิริยาจิต เว้นพระอรหันต์แล้ว กิริยาจิตไม่เกิดในชวนะ ลองพิจารณาดู อย่างปุถุชน หรือผู้ที่บรรลุโลกุตระ ตั้งแต่พระโสดาบัน ถึงพระอนาคามี ยังมีวิบากอยู่ เพราะฉะนั้นเห็นเมื่อใดก็ต้องพิจารณาดูว่าวิบากเกิดขึ้นก่อน ต่อจากนั้นไป เป็นกุศล หรืออกุศล ก็ได้
สิ่งที่เราควรจำมากที่สุดก็คือเว้นจากพระอรหันต์แล้ว ไม่เป็นกิริยาจิตในชวนะ แต่พระอรหันต์มีกิริยาจิต ๒ ดวง นอกชวนะ คือ ๑ ปัญจทวาราวัชชนะ ๒ มโนทวาราวัชชนะ นี่เป็นกิจของจิต
จิตทุกดวงต้องรู้อารมณ์ ตั้งแต่ปฏิสนธิจิต ทั้งหมดเป็นจิตต้องรู้อารมณ์ทั้งสิ้น ต้องพิจารณาดูว่า ปุถุชนส่วนมากมีวิบาก แต่ก็มีกิริยาจิตเหมือนกัน ซึ่งเป็นอเหตุกจิต เพราะฉะนั้นต้องพิจารณา เรียนธรรม เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ยากจริงๆ
อ.ธีรพันธ์ ก็จะเห็นได้ว่า ขณะที่มีวิถีจิตเกิดขึ้น ก็จะเริ่มจากปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นขณะแรก ที่เป็นวิถีแรก คือรำพึงถึงอารมณ์ ขณะนั้นยังไม่ได้เห็น ได้ยิน หรือว่าได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่รำพึงถึงอารมณ์เท่านั้นเอง แต่จิตที่ทำกิจเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ จริงๆ นั้น คือขณะที่เป็นทวิปัญจวิญญาณเท่านั้น อย่างเช่น จักขุวิญญาณ ในขณะที่เกิดทางตา ดับไปแล้ว หลังจากนั้น สัมปฏิจฉันนจิต รับอารมณ์นั้นต่อ คือ รู้สีนั้นต่อ รับโดยการรู้สี เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว สันตีรณจิตพิจารณาอารมณ์ คือพิจารณาสี แล้วโวฏฐัพพนจิตเกิดสืบต่อเป็นชาติกิริยา เป็นอเหตุกจิต ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย หลังจากโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ชวนวิถีจิตเกิดขึ้นสืบต่อ มีเหตุเกิดร่วมด้วย ถ้ายังไม่กล่าวถึงพระอรหันต์ กล่าวถึงบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ในชวนะจะมีเหตุเกิดร่วมด้วย จะเป็นกุศลก็ตาม หรือว่าอกุศลก็ตาม
เพราะฉะนั้นจากการศึกษาทำให้ทราบว่า ขณะที่เห็นจริงๆ คือขณะที่เป็นจักขุวิญญาณเท่านั้นเอง หลังจากนั้นที่เป็นชวนวิถี เกิดสืบต่อมาแล้ว ขณะนั้นไม่ได้เห็น จะทำกิจแล่นไปในอารมณ์ เพราะฉะนั้นทำให้ทราบว่า ขณะที่แล่นไปในอารมณ์ ขณะนั้นไม่เห็น ทำให้เห็นว่าการเกิดดับสืบต่อของจิต เป็นไปแต่ละขณะจริงๆ จะไม่ปนกัน แต่ทำกิจหน้าที่ต่างกัน แต่ละขณะๆ เท่านั้นเอง