หนทางให้สติระลึกรู้ตามความเป็นจริง


    ชีวิตตามความเป็นจริง เห็นรูปทางตาเสมอ ได้ยินเสียงทางหูก็บ่อย ๆ ได้กลิ่นทางจมูกอยู่เรื่อย ๆ เมื่อกลิ่นกระทบกับจมูก ลิ้มรสนาน เช้า เที่ยง บ่าย เย็น หลายนาทีทีเดียว และมีการกระทบสัมผัสอยู่บ่อยๆ ประโยชน์ก็คือว่าจะได้ระลึกรู้ตามความเป็นจริงว่า กุศลหรืออกุศลเกิดตามปกติ

    เพราะฉะนั้นท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า อกุศลนี้เกิดแล้วๆๆโดยความไม่รู้ แต่เมื่อได้ศึกษาโดยละเอียด จึงเริ่มเห็นโทษของอกุศล ซึ่งเกิดบ่อยเหลือเกิน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    นี่เป็นหนทางที่จะทำให้สติเริ่มระลึกรู้ตามความเป็นจริง เมื่อรู้ว่าอกุศลเป็นอกุศล และกุศลเป็นกุศลเพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาเรื่องของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง ให้ละเอียดขึ้น

    การศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดเพราะเหตุว่าจะต้องพิจารณาให้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏจนกว่าจะรู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าไม่ได้ศึกษาแล้ว จะไม่เห็นเลยว่า ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเป็นอย่างไร

    บางท่านอาจจะคิดว่า ที่กำลังพูดถึงในขณะนี้ คือ เรื่องปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นเรื่องที่ละเอียดเกินไป บางท่านเข้าใจอย่างนั้น แต่ว่าถ้าไม่รู้ลักษณะของปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นก็ยากที่จะเห็นว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งท่านเล่าให้ฟังถึงเพื่อนของท่านคนหนึ่ง เวลาที่ได้ฟังวิทยุเรื่องแนวทางเจริญวิปัสสนา ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ตรงกับใจที่กำลังต้องการฟังธรรมบางประการ เช่น อยากจะฟังเรื่องเมตตา แต่ในวันที่เปิดวิทยุก็ไม่ได้รับฟังเรื่องเมตตา เป็นเรื่องอื่น ก็ไม่ตรงกับใจของท่าน เพราะเหตุว่าท่านคงอยากจะเป็นผู้ที่เจริญเมตตา แต่ก็อย่าลืมว่า ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเมตตาคืออะไร มีลักษณะอย่างไรเกิดขึ้นในขณะไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้นอกุศลจิตก็ยังเกิดอยู่ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีใครที่รู้เรื่องเมตตาแล้ว จะมีเมตตาอยู่ได้ตลอดเวลา โดยที่อกุศลจิตไม่เกิดเลย เพราะเหตุว่าอกุศลธรรมเป็นพืชเชื้อที่ตายยาก ดับยาก ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยถ่องแท้ โดยละเอียดถูกต้องจริงๆ อกุศลธรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะดับได้ ถึงแม้ว่าจะได้ฟังเรื่องของเมตตาหรือเรื่องของกุศลนานาประการก็ตาม อกุศลก็ยังเกิดอยู่

    แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือจะต้องรู้ว่า ขณะใดเป็นกุศลขณะใดเป็นอกุศล ในขณะนี้ อย่าลืมนะคะ นี่เป็นเหตุที่จะต้องศึกษาธรรมโดยละเอียดถี่ถ้วนจริงๆเพราะมิฉะนั้นก็จะเข้าใจว่าอกุศลเป็นกุศลได้ อย่างท่านที่ต้องการจะมีเมตตา เป็นเพราะเหตุว่าท่านไม่ต้องการที่จะมีโทสะ เพราะฉะนั้นท่านจึงปรารถนาที่จะมีเมตตา แต่เวลาที่โทสะไม่เกิดขึ้น ไม่ทราบว่าท่านจะเห็นโทษของโลภมูลจิตและโมหมูลจิตหรือเปล่าว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่เป็นอกุศลนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่เวลาที่เป็นโทสะ แม้ในขณะที่เป็นโลภะ หรือขณะที่เป็นโมหะ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว และข้อสำคัญก็คือว่าลักษณะของอกุศลที่ละเอียด ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่า เป็นอกุศล ก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นกุศล

    ด้วยเหตุนี้ถ้าสามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏกับตัวท่านโดยละเอียด ก็ยิ่งจะมีปัจจัยที่จะทำให้รู้ได้ถูกต้องว่า จิตในขณะนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพื่อที่จะได้อบรมเจริญกุศลได้ยิ่งขึ้น มิฉะนั้นก็จะมีแต่ความต้องการธรรมบางประการ เหมือนกับยาบางชนิดในร้ายขายยา เวลาที่เป็นโรคชนิดหนึ่งชนิดใด ก็อยากจะซื้อยาชนิดนั้นมาบำบัดโรค แต่ธรรมไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเหตุว่าจะต้องเป็นความเข้าใจจริงๆซึ่งเมื่อได้ศึกษาธรรมยิ่งขึ้น ก็จะเห็นได้ว่า ต้องอาศัยการพิจารณา การไตร่ตรองจนกว่าจะเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการท่องจำ แต่ต้องเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในเหตุผลจนกว่าจะเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ก็เป็นเรื่องของเหตุและผลทั้งหมดที่คงทนแก่การพิสูจน์และคงทนแก่การพิจารณา

    ไม่ทราบว่าท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า


    หมายเลข 2647
    29 ส.ค. 2558