อานาปานสติในสมถะกับวิปัสสนา


    อานาปานบรรพ

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า

    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว

    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น

    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก ย่อมสำหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า

    ข้อสำคัญจะต้องทราบว่า เป็นปกติธรรมดา ขณะนี้มีท่านผู้ใดระลึกรู้ที่ลมหายใจบ้าง ถ้าไม่ระลึกรู้ที่ลมหายใจ ทราบไหมว่าเป็นเพราะเหตุอะไร ทุกอย่างต้องมีเหตุผลทั้งสิ้น กำลังเห็น มี ได้ยิน มี หรือรูปเย็น ร้อน อ่อน แข็งที่ปรากฏ ก็มี เป็นปกติธรรมดา ก็เป็นเพราะเหตุว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จิตมักคล้อยไป ไม่เหมือนกับลมหายใจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกายจริงๆ

    คนที่ยังมีชีวิต มีนาม มีรูป ต้องมีลมหายใจทุกคน แต่ว่าหยาบ ละเอียด ยาว สั้น ถ้าสติไม่ระลึกรู้ ขณะนั้นก็ไม่สามารถที่จะทราบได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เจริญอานาปานสติสมาธิจึงได้ไปสู่ที่สงัด เช่น ไปสู่ป่า ไปสู่โคนไม้ ไปสู่เรือนว่าง

    ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยอบรมมาในเรื่องของสมาธิ หรือไม่เคยอบรมมาก็ตาม จิตน้อมไปประการใด ตามอัธยาศัยของแต่ละท่าน ผู้นั้นก็เจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น

    ในหมวดของอานาปานบรรพนี้ เป็นเรื่องของผู้ที่เคยอบรม เคยสะสมการเจริญสติ พิจารณาลมหายใจ ซึ่งลมหายใจนั้นเป็นสภาพธรรมที่ละเอียดมาก ถ้าไม่รู้วิธีเจริญอานาปานสติที่ถูกต้อง สติจะไม่ตั้งมั่นที่ลมหายใจได้นาน จะระลึกรู้ลักษณะของลมหายใจได้ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเจริญอานาปานสติให้จิตตั้งมั่นที่ลมหายใจ จะต้องรู้วิธีด้วยว่า จะขาดสติไม่ได้เลย หายใจออกจะต้องมีสติระลึกรู้ หายใจเข้าจะต้องมีสติระลึกรู้ ขณะใดที่หายใจออกยาว สติจะต้องรู้ตามความเป็นจริงถึงลมหายใจออกยาว ขณะที่หายใจออกสั้น สติจะต้องระลึกรู้ตามความเป็นจริงของลมหายใจออกสั้น หรือว่าเวลาที่หายใจเข้า สติจะต้องระลึกรู้สภาพของลมหายใจเข้า ในขณะที่เข้ายาวก็ต้องรู้ในลักษณะนั้น ในขณะที่หายใจเข้าสั้นก็ต้องรู้ในลักษณะนั้นด้วย ถ้าขาดสติหรือเผลอสติไปที่อื่น ก็ไม่ใช่อานาปานสติสมาธิ เพราะเหตุว่าอานาปานสติสมาธินั้น สติจะระลึกที่ลมหายใจเท่านั้น

    ต่อไปข้อความที่ว่า

    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก

    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับการสังขาร หายใจเข้า

    กายสังขาร เครื่องปรุงแต่งกายให้ดำเนินไป ได้แก่ ลมหายใจนั่นเอง เพราะฉะนั้น เวลาที่ยังไม่พิจารณาลมหายใจ แล้วเริ่มพิจารณา ที่จะมีลมหายใจปรากฏได้ในขณะที่พิจารณานั้น ลมนั้นต้องหยาบในขณะที่เริ่มพิจารณา แต่เมื่อมีสติระลึกที่ลมหายใจมากเข้า ลมก็ยิ่งละเอียดขึ้นทุกที เพราะลมหายใจนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน ถ้าจิตหยาบลมหายใจก็หยาบ ถ้าจิตละเอียดขึ้นสงบขึ้น ลมหายใจก็ละเอียดขึ้นประณีตขึ้นด้วย

    ผู้ที่เจริญอานาปานสติต้องรู้ชัดว่า จะต้องมีสติรู้ลมหายใจที่หยาบ แล้วก็ละเอียดขึ้นๆ โดยที่ไม่ให้ขาดสติไปนั่นเอง และถ้าเป็นอานาปานสติสมาธิ ในขณะที่เป็นอุปจารสมาธิ ลมหายใจก็หยาบกว่าขณะที่เป็นอัปปนาสมาธิขั้นปฐมฌาน และจะละเอียดขึ้นตามลำดับ

    สำหรับการเจริญวิปัสสนานั้น ก่อนพิจารณาลมหายใจ ลมหายใจก็หยาบ แต่ในขณะที่พิจารณารู้ลักษณะของลม คือ รู้ลักษณะของมหาภูตรูป ในขณะนั้นก็ละเอียดขึ้น หรือว่าในขณะที่ปัญญารู้ลักษณะของนามรูป รู้ปัจจัยของนามรูป ก็จัดว่าหยาบกว่าในขณะที่รู้สภาพความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน คือ ไตรลักษณะของนามรูป ในขณะนั้นก็ละเอียด


    หมายเลข 2655
    31 ก.ค. 2567