ฟังเรื่องจิตให้ละเอียดขึ้นในความเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของการที่จะต้องรู้เรื่องของชาติของจิต นั่นเอง และก็ไม่สับสน เพราะเหตุว่าทางมโนทวารวิถี ก็เป็นวิถีจิตแรกคือมโนทวาราวัชชนจิต ไม่ใช่วิบาก แต่เป็นกิริยา แล้วหลังจากนั้นก็เป็นกุศล หรืออกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต
ผู้ฟัง แล้วก็การเกิดของมโนทวาร เกิดอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม
ท่านอาจารย์ คำว่า ตลอดเวลา หมายความว่าอย่างไร
ผู้ฟัง ก็เกิดแทบจะทุกขณะจิต เพราะฉะนั้น มโนทวารที่เกิดเพราะกรรม ก็ควรจะมีด้วย
ท่านอาจารย์ คิดเอง ถ้าเป็นปัญญาต้องเป็นความรู้ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวว่ามโนทวารวิถีเกิดตลอดเวลา ต้องบอกว่า เว้นตอนเป็นภวังคจิต และขณะที่เป็นปัญจทวารวิถีจิต
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าธรรมใดไม่ปรากฎ ก็เพียงแต่คุยกันแค่เรื่องราว หรือคุยเรื่องชื่อ และจากอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเมื่อเห็น ก็เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และที่ตามมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ ชอบหรือไม่ชอบ ก็คือเป็นกุศล หรืออกุศล หรือเป็นปัญญา ที่ยังไม่เกิดเลย ขอให้ท่านอาจารย์อธิบาย
ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องที่เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไม่ลืมเท่านั้นเอง ในเรื่องของ ๔ ชาติ เพราะเหตุว่าที่กล่าวถึงแล้ว ปฏิสนธิเป็นวิบาก ภวังค์เป็นวิบาก ปัญจทวาราวัชชนจิต หรือมโนทวาราวัชชนจิต ที่เกิดใน ๖ ทวาร เป็นกิริยา คือจิต ๒ ชาติ แล้วใช่ไหม ก็เหลืออีก ๒ ชาติ คือ กุศลจิต และอกุศลจิต ซึ่งเกิดต่อหลังจากที่วิถีจิตแรก คือปัญจทวาราวัชชนจิต ทางปัญจทวารดับไป จักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ เกิดต่อ คือในขณะใดก็ตามที่เห็น ให้ทราบว่า ก่อนจิตเห็นจะเกิดได้ ก็ต้องมีกิริยาจิตเกิดก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปรู้ ให้เข้าใจความละเอียดให้ถูกต้อง ถึงความเป็นอนัตตา เพราะว่าที่เราฟังธรรมทั้งหมด เริ่มจากธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพียงเท่านี้ก็ยังไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ ต่อเมื่อได้ฟังละเอียดขึ้นๆ ธรรมทั้งหมดที่ได้ฟัง ก็จะเป็นเครื่องที่จะปรุงแต่ง ให้ค่อยๆ เข้าใจ ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม จนกว่าจะถึงระดับที่สามารถที่สติสัมปชัญญะจะเกิดเป็นสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ได้เข้าใจแล้วจากการฟัง โดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เมื่อถึงปัญจทวาราวัชชนะ เป็นกิริยาจิต ดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะ วิบากจิตเกิดต่อ สันตีรณะ วิบากจิตเกิดต่อ โวฏฐัพพนะ กิริยาจิตเกิด แล้วก็หลังจากนั้นกุศลจิต หรืออกุศลจิต สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็เกิดต่อ
แสดงให้เรารู้ว่าเราติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มากมายแค่ไหน ในวันหนึ่งๆ เพราะว่าทุกคนแสวงหา สิ่งที่จักขุวิญญาณ เห็น โสตวิญญาณ ได้ยิน ฆานวิญญาณ ได้กลิ่น ชิวหาวิญญาณ ลิ้มรส กายวิญญาณ สัมผัสกระทบสิ่งที่เย็น - ร้อน อ่อน - แข็ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราติดในภพภูมินี้อย่างมาก ก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อมีการเห็น พอใจหรือไม่พอใจ ก็แล้วแต่การสะสม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าความรู้สึกชอบ ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด โลภมูลจิต ๗ ขณะ ดับไปแล้ว สืบต่อจากวันก่อน จนถึงวันนี้ ไหมคะ เมื่อวานนี้ชอบอะไรไว้ หลังจากที่ลิ้มรสแล้ว วันนี้ก็ยังคิดถึง ชอบอยู่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหมดไปแล้ว ดับไปแล้ว ไม่มีแล้ว ก็ยังพอใจ นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ตลอดชีวิต ความสำคัญอยู่ที่ว่า เราติดข้องในสิ่งที่เราเห็นเราได้ยิน ซึ่งเป็นเพียงชั่ววิบากจิต เป็นผลของกรรมเท่านั้นเอง แต่ก็ไปติดในสิ่งที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ