สติเกิดกับกุศลจิตทุกประเภท
ผู้ฟัง ทุกคนเกิดมาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องขัดเกลา ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย กิเลสทั้งหมด อกุศลเจตสิก ทั้ง ๑๔ ประเภท
ผู้ฟัง กิเลสเป็นที่มาจากความเป็นตัวตนก่อน โดยเฉพาะความสำคัญตน และกิเลสต่างๆ ก็ตามมาทั้งหมด ในขณะที่ปัญญายังมีน้อยนิด ซึ่งไม่สามารถจะระลึกได้ว่าเป็นเราในขณะจิตใด
ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวัน มีการให้บ้างหรือไม่ เป็นเราหรือเปล่า ทุกคนก็ยืนยัน แม้ว่าฟังแล้วว่าเป็นธรรม แต่ว่าถ้าฟังแล้วรู้ว่าเป็นสติระดับหนึ่ง เราหวังสติระดับไหนกัน ในขณะที่กำลังฟังธรรม เพราะว่าสติเจตสิก เป็นโสภณเจตสิก เกิดกับโสภณจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตประเภทใด ก็จะต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย วันหนึ่งๆ ติดข้องจนไม่ได้คิดถึงเรื่องการให้เลย นั่นคือ การสั่งสมของอกุศลประเภทโลภะ ต้องการทุกอย่างเพื่อตัว เมื่อไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกขณะมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย กี่ภพ กี่ชาติ ก็คืออย่างนี้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จะคลายความติด แต่ว่าเพียงขั้นคิดนึก และขั้นฟัง ยังไม่สามารถที่จะดับได้จริงๆ นี่ก็เป็นสติระดับหนึ่ง ซึ่งก็ยากที่จะเกิด วันหนึ่งคิดถูกอย่างนี้จะเกิดกี่ครั้ง เพียงแค่คิดให้ถูก ยังไม่ต้องไปประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เราก็จะเริ่มรู้ว่าจริงๆ เเล้ว ธรรมละเอียดมาก แม้แต่ทางฝ่ายของกุศล สติซึ่งเป็นโสภณเจตสิกก็มี ในขณะที่กำลังฟังก็เป็นสติ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ใช่สติที่เป็นโสภณที่เกิดร่วมกันกับโสภณเจตสิกอื่นๆ แล้วจะฟังไหม ก็ไม่ฟัง
เพราะฉะนั้นกุศลทุกระดับ ต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย พร้อมกับโสภณเจตสิกอื่นๆ ไม่ใช่สติอย่างเดียว ในขณะที่ให้ทาน ถ้าเข้าใจระลึกได้ ในขณะนั้นจากการฟัง ก็รู้ว่าขณะนั้น สภาพที่ระลึกเป็นไปในทานก็ไม่ใช่เรา แต่ว่ากว่าจะรู้ ก็ต้องอาศัยการฟัง จนกระทั่งค่อยๆ ซึมซับความรู้ที่เป็นอนัตตา จนกระทั่งสามารถที่จะถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าทุกท่านที่ฟังวันนี้ ก็อยากจะให้ทุกท่านได้เป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นพระโสดาบันภายในชาตินี้ ไม่ใช่เลย เพียงแต่ว่าฟังแล้วเข้าใจ ขณะที่เข้าใจก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ใช่ตัวตน บางคนก็บอกว่าเพียงขั้นทาน ศีล ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสติปัฏฐานยังไม่เกิด เขาก็พยายามที่จะให้เป็นไป ให้ทำทานมากๆ ให้รักษาศีล แล้วก็เพื่อที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด เพื่อที่จะให้รู้ลักษณะของสภาพธรรม รอวันนั้น ด้วยการคิดว่าจะให้ทาน กับรักษาศีลก่อน แต่ว่าตามความเป็นจริง ทานการให้ก่อนการฟังธรรมมีไหม มี แต่เป็นเรา ศีล การวิรัติทุจริต ต่างๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่พูดคำหยาบ เหล่านี้ก็มีในชีวิตประจำวัน แต่ว่าเป็นเรา แต่หลังจากที่ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ศีลที่เคยมี ก็เป็น ศีลวิสุทธิ และเรายังจะคงปล่อยให้เป็นศีลธรรมดาๆ เหมือนที่เคย แล้วก็รอวันไหนที่จะมีสติสัมปชัญญะเกิด ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในเมื่อเราเข้าใจแล้ว ก็มีปัจจัยที่จะทำให้ แม้ขณะที่จะเป็นการวิรัติทุจริต หรือขณะที่ให้ทาน ขณะนั้นก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ นี่คือจุดประสงค์ของการฟัง ให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม ซึ่งเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ว่าความจริงที่เกิดจากการฟัง และเข้าใจ จะสะสมไว้มากน้อยเท่าไหร่ เราจะเห็นความเป็นอนัตตา ว่าจะมีปัจจัยให้เกิดคิดถูก เพียงแค่คิดก่อน หรือว่าถึงขั้นที่สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็จะยังมีการเข้าใจสภาพธรรมละเอียดขึ้นได้
แต่ให้ทราบว่า ไม่ควรที่จะคิดว่าเราจะให้มีทาน มีศีลมากๆ รอคอยการที่สติปัฏฐานจะเกิด แต่ควรที่จะว่า เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่ว่าขณะให้ทาน ขณะที่วิรัติทุจริต หรือเป็นศีล ขณะนั้นก็วิสุทธิด้วยความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อเข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนได้ ค่อยเป็นค่อยๆ ไปตามปกติ