อยู่ในโลกของสมมติจะปฏิบัติธรรมได้ไหม


    ผู้ฟัง ถ้าเผื่อว่าผมยังอยู่ในโลกของสมมติ วันหนึ่งเรานั่งสมาธิสัก ๑๐ นาที ๒๐ นาทีอย่างนี้ จะเรียกนั่งปฏิบัติอยู่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นตัวคุณเด่นพงศ์ชัดๆ เลย ไม่ใช่เป็นสัมมาสติ เพราะว่าสัมมาสติกะเกณฑ์ได้ไหมว่า ตอนที่ออกกำลังมาแล้ว นอนสบายๆ พักผ่อน

    ผู้ฟัง มันนึกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีปัจจัยที่จะเกิด คนตาบอด แล้วบอกว่าเมื่อไรจะเห็นได้ ทั้งๆ ที่ตายังไม่ดีเลย เขาต้องรักษาตาก่อนใช่ไหมคะ คนหูหนวกก็ไปนั่งคิดว่า เมื่อไรจะได้ยินเสียทีหนึ่ง แต่ถ้าหูยังหนวกอยู่ก็ได้ยินไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาที่เป็นปัจจัยเป็นสังขารขันธ์ อย่าลืมนะคะ ถ้าพูดถึงเรื่องขันธ์ ๕ เราลืมไปอีกแล้ว ทำไมเรียนธรรมแบบลืมโน่นลืมนี่ ถ้าธรรมก็คือธรรม อนัตตาก็คืออนัตตา สังขารขันธ์ก็ไม่ใช่เรา รูปก็เป็นรูปขันธ์ เวทนาก็เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาความจำก็เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกอื่นทั้งหมด ทั้งสติก็เป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งตั้งแต่ขณะที่เราฟังเข้าใจ ไมใช่ไปทำ หรืออยากจะทำ หรือกะเกณฑ์ว่า ตอนนี้สติจะเกิด ถ้าเป็นสัมมาสติ มีปัจจัยจะเกิด คุณเด่นพงศ์เดาไม่ได้เลยว่า ขณะนั้นสติจะระลึกอะไร เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่สติจะเกิดระลึก อะไรก็ตามที่สติระลึก ไม่ใช่เราจะระลึกที่กาย หรือเราจะไปดูใจ หรืออะไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องของสัมมาสติ

    เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจความหมายของอนัตตาถูกต้องตรงกันกับที่เคยได้ยินได้ฟัง จะเข้าใจความหมายของสติเป็นอนัตตา เป็นสภาพที่ระลึก ไม่ใช่เรา ขณะนั้นเป็นลักษณะของสัมมาสติจริงๆ ไม่ใช่เราไปวางกฎเกณฑ์

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ยังมีเยื่อใยวางกฎเกณฑ์ ขณะนั้นก็คือตัวตนที่ไม่ใช่สัมมาสติ

    ผู้ฟัง บางทีแปรงฟัน ผมก้พยายามคิดว่า เราไม่ได้แปรงฟันนะ ค่อยๆ คิด คือพยายามฝืนใจให้รู้สึกตามที่อาจารย์สอนว่า เป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ค่ะ แล้วแต่สติจะเกิดกับหลงลืมสติ อย่าเดือดร้อน ต้องเข้าใจความเป็นอนัตตาโดยลึกซึ้งจริงๆ ว่า ถ้าไม่มีปัจจัย สติก็ไม่เกิด ก็ไม่เห็นเป็นไร สติไม่เกิดก็เพราะไม่มีปัจจัย แต่เมื่อสติเกิด ก็เป็นสติเท่านั้นที่เกิด ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น เรื่องของการอบรมปัญญาก็เหมือนกับคนตาบอด เราต้องรู้ว่า ต้องมียาแน่ คือมีหนทางทำให้ตาหายบอด แต่หนทางนั้นมีทางเดียว คือ การอบรมปัญญา ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วก็ละอะไรไม่ได้เลย เมื่อได้ปัญญาแล้วยังต้องอบรมเจริญให้มากขึ้นด้วยความอดทนด้วย แต่ไม่ใช่ตาบอด แล้วไม่มียา แล้วเมื่อไรจะเห็น ก็นั่งรำพันว่า เมื่อไรจะหายบอด เมื่อไรจะถึงอริยสัจธรรม เมื่อไรจะเป็นพระโสดาบัน


    หมายเลข 2837
    28 ก.ค. 2567