ปวัตติกาล - อุปถัมภกกรรม - อุปปีฬกกรรม
เพราะฉะนั้นชีวิตแบ่งออกเป็น ปฏิสนธิกาล หรือ ปฏิสันธิกาล ตามภาษาบาลี คือ ในขณะที่ปฏิสนธิ และเมื่อพ้นจากขณะปฏิสนธิ คือ เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้วตลอดไป จนถึงจุติ ชื่อว่า ปวัตติกาล
เพราะฉะนั้น ในปวัตติกาลของแต่ละชีวิต ก็ย่อมแล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลใน ขณะไหน โดยที่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า พรุ่งนี้ ทุกคนกรรมใดจะให้ผล มีใครรู้ได้ไหม น้ำจะท่วม ไฟจะไหม้ โจรผู้ร้าย สารพัดอย่าง โรคภัยที่จะเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย แต่ให้ทราบว่าวิบากทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้เพราะแต่ละกรรม แล้วแต่ว่าเมื่อกรรมหนึ่งเป็นชนกกรรมแล้ว กรรมอื่นย่อมเป็นอุปถัมภกกรรมบ้าง หรือว่าเป็นอุปปีฬกกรรมบ้าง เป็นอุปฆาตกกรรมบ้าง
สำหรับอุปถัมภกกรรม ถ้าท่านผู้ใดกำลังสบายมีความสุขพร้อมอยู่ ความสุขนั้น สั้นหรือยาว แล้วแต่ว่ากรรมที่อุปถัมภ์นั้นจะมีหรือไม่มี ถ้าไม่มีกรรมที่จะอุปถัมภ์ กรรมที่ให้ ผลที่ทำให้ท่านเป็นสุข อาจจะเพียงเล็กน้อย ชั่วคราว แล้วความทุกข์ก็เกิดขึ้น โดยที่ไม่มีกุศลกรรมอื่นอุปถัมภ์ แต่ถ้าท่านมีช่วงของชีวิตที่กำลังเป็นสุขสบายเพราะกรรมหนึ่ง แต่ก็ยังมีกรรมอื่น ซึ่งเป็นกุศลกรรมพร้อมที่จะอุปถัมภ์เป็นปัจจัย ก็ทำให้ชีวิตที่กำลังสุข สบายนั้นมีกาลยืดยาวต่อไปอีก เพราะเหตุว่ามีกรรมอื่นอุปถัมภ์
แต่สำหรับอุปปีฬกกรรม เมื่อท่านกำลังสุขสบายอยู่ และมีความทุกข์เกิดคั่น แทรกทำให้ความสุขสบายนั้นลดน้อยลง หรือว่าสั้นลง ขณะนั้น ก็เป็นเพราะอกุศลกรรมหนึ่งเป็นอุปปีฬกกรรม ย่อมบีบคั้นหรือเบียดเบียนความสุขในขณะนั้นให้สั้นลง เป็นชีวิตประจำวันหรือเปล่า เคยรับประทานอาหารอร่อยๆ อาจจะเกือบทุกมื้อเลย หรือมื้อหนึ่งก็ได้ซึ่งรับประทานอาหารอร่อยมาก เป็นกุศลวิบากหรือเปล่า เป็นผลของกุศลกรรมหรือเปล่าในขณะนั้น เป็น แต่เพียงคำเดียวซึ่งเคี้ยวพริกเผ็ดๆ สี่ห้าเม็ดไป ขณะนั้นกรรมอะไร ตัดรอนความสุขหรือกุศลวิบากในขณะนั้นที่กำลังเกิดให้สั้นหรือว่าน้อยลง แต่คงจะไม่มีใครคิดว่า การที่เคี้ยวพริกเผ็ดๆ ไปสักคำ จะเป็นอุปปีฬกกรรม เพราะว่าในขณะนั้นกำลังมีความอร่อยมาก และการที่อกุศลวิบากจะเกิดขึ้นก็เป็นชั่วขณะ เล็กๆ น้อยๆ สั้นเหลือเกิน แต่ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ทำไมเกิดได้ ถ้าไม่มีอกุศลกรรม เบียดเบียนความสุข