มาตุโปสกสูตร


    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มาตุโปสกสูตร ที่ ๙ (ข้อ ๗๑๓) มีข้อความว่า

    ครั้งนั้น มาตุโปสกพราหมณ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าแสวงหาภิกษาโดยชอบ แล้วเลี้ยงมารดาและบิดา ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ชื่อว่า ทำกิจที่ควรทำหรือไม่

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ชอบยิ่งพราหมณ์ ท่านทำดังนี้ชื่อว่า ได้ทำกิจที่ควรทำแล้ว ด้วยว่าผู้ใดแสวงหาภิกษาโดยชอบ แล้วเลี้ยงมารดาและบิดา ผู้นั้นย่อมได้บุญเป็นอันมาก

    พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

    บุคคลใดเลี้ยงมารดาและบิดาโดยชอบ เพราะการบำรุงมารดาและบิดานั้นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกทีเดียว บุคคลนั้นละไปจากโลกนี้แล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว มาตุโปสกพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยเอนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิดไว้ บอกทางแก่คนหลง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจะมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    สังเกตพยัญชนะที่ว่า เพราะการบำรุงมารดาและบิดานั้นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกทีเดียว

    ความหมายของบัณฑิต ในพระสูตรมีความหมายที่ลึกซึ้งด้วย คือ หมายความถึงบุคคลที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว เพราะฉะนั้น บัณฑิตที่นี่รวมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

    แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นบัณฑิต ย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกทีเดียว ไม่ใช่ว่าเวลาที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หรือว่าเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นมารดาบิดา รู้สภาพตามความเป็นจริง และรู้คุณธรรมที่พึงปฏิบัติ รู้ว่าคุณธรรมเช่นใดที่เมื่อผู้ใดประพฤติปฏิบัติแล้ว ย่อมทำให้ประสบบุญเป็นอันมากทีเดียว

    การเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะนึกอย่างไร ไม่ว่าจะรู้อย่างไร ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็เป็นนามธรรม ถ้ารู้ว่าบุคคลนั้นเป็นใคร ในขณะที่รู้นั้นเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน


    หมายเลข 2862
    19 ก.ย. 2566