ไม่ได้บรรลุ แต่เป็นผู้ที่เป็นพหูสูตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้เป็นผู้ทรงปริยัติ แต่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า ต้องเป็นพหูสูตด้วยใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เป็น ไม่มีทางจะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ เพราะว่าเราก็เคยฟังมาแล้วเรื่องของนามธรรม และรูปธรรม ๒ คำ หรือว่าปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป และสามารถรู้ละเอียดโดยศึกษาเรื่องของจิต เจตสิกเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น กว่าจะละ สละความเป็นเราที่เห็น ก็ต้องอาศัยความเป็นเราอีกมากมาย พร้อมทั้งการอบรมเจริญปัญญาตามที่ได้ยินได้ฟังด้วย
ผู้ฟัง ก็ต้องทรงจำได้มาก ทรงจำทั้งพระไตรปิฎก แต่ว่าไม่ได้เข้าใจสภาพธรรม จะเป็นพหูสูตไหมครับ
ท่านอาจารย์ ก็ลองคิดถึงทัพพี เราใช้คนแกง จะแกงหม้อไหนก็ได้ ทัพพีก็คนได้หมด แต่ทัพพีไม่สามารถจะรู้รสของแกงได้ฉันใด ผู้ที่ฟังมาก และจำมาก แต่ไม่รู้ประโยชน์ ประโยชน์นี่สำคัญที่สุดว่า ฟังเพื่ออะไร นี่เป็นจุดที่ถูกต้อง ที่ว่า ถ้าจิตตั้งไว้ชอบ ขณะนั้นก็สามารถอบรมสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราฟังมากเพื่อจะรู้ และจำมาก เราไม่สามารถเข้าใจว่า ประโยชน์ของการฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ การเรียนของเราก็สูญเปล่า เพราะว่าแม้จะเรียนไป แต่สภาพธรรมก็กำลังปรากฏ แล้วยังคงมีความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่ศึกษาว่าไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตน ขณะที่เห็นเป็นธาตุ หรือเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเมื่อมีสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาท เหตุผลต้องกำกับตลอด จิตเห็นจะเกิดเมื่อรูปนี้กระทบกับจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้มีสภาพรู้หรือธาตุรู้ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เราก็ฟัง แต่ถ้าฟังแล้วไม่น้อมที่จะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เห็นว่า ธาตุชนิดนี้มีจริงๆ กำลังเป็นอย่างนี้ กำลังทำกิจอย่างนี้ ก็จะทำให้เราไม่มีทางรู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย ก็เพียงฟังตลอด
อีกอย่างหนึ่ง หลายคนอาจจะบอกว่า คนที่ฟังธรรม แต่ความประพฤติในชีวิตประจำวันไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับธรรม มีไหมคะ หรือว่าไม่มี มีแน่นอน เพราะฉะนั้น ผู้นั้นถึงจะรู้มาก จำได้มาก แต่เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรมว่า เพื่อสิกขา คือ ประพฤติปฏิบัติตาม การศึกษาไม่ใช่ศึกษาเพียงเรื่องราวหรือคำ แต่ศึกษาเพื่อน้อมเข้าใจ เพื่อประพฤติปฏิบัติตาม
เพราะฉะนั้น บางคนเรียนมาก แต่ไม่เมตตา ก็เห็นได้เลยว่า เรียนเข้าใจเรื่องราว แต่ขณะนั้นระลึกได้หรือเปล่าว่า ทรงสอนเรื่องสภาพของจิตหรือธรรมฝ่ายดี ซึ่งตรงกันข้ามกับฝ่ายอกุศล คนนั้นอาจอยากเรียนมากๆ อ่านหนังสือมากๆ ฟังเทปมากๆ แต่ไม่สนใจที่จะรู้ว่า จรณะ คือความประพฤติในชีวิตประจำวันขั้นศีลมีหรือเปล่า ถ้ายังสามารถล่วงศีลโดยไม่เห็นโทษ ไม่เห็นภัย และไม่เห็นประโยชน์ว่าเรียนทำไม ถ้ายังคงมีความประพฤติที่ไม่เป็นไปในฝ่ายกุศล คนนั้นจะมีแต่ความจำเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ไม่ได้ประโยชน์ หวังอย่างเดียวให้สติปัฏฐาน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้สติปัฏฐานเกิด โดยที่จรณะก็ยังไม่มี แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสพิจารณาให้เห็นประโยชน์จริงๆ ประโยชน์ก็ไม่เกิด แต่เพราะเหตุว่าสะสมมามาก และก็มีอัธยาศัยซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว การสะสมทั้งหมดเกิดขึ้นพิจารณาโดยแยบคายในขณะนั้นโดยความถูกต้อง ทำให้เห็นประโยชน์แล้วประพฤติในทางที่ถูกต้องได้
ถ้าเข้าใจธรรมโดยละเอียดจริงๆ ก็จะรู้ความจริงว่า จิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเหตุปัจจัยได้ เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่า “สังขตธรรม” ปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด ไม่ว่าจะเป็นกายที่ดีหรือที่ไม่ดี วาจาที่ดีหรือที่ไม่ดี ก็เป็นสังขตะเมื่อเกิด เพราะเหตุว่าปรุงแต่งแล้วเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ แต่ถ้าเข้าใจความหมายของ “อดทน” ว่าไม่ใช่อดทนที่จะไม่พูดหรือไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือจะทำให้คนอื่นไม่สบายใจ แต่อดทนยิ่งกว่านั้นมาก คืออดทนที่จะรู้ลักษณะสภาพของจิต ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏซึ่งเลือกไม่ได้ และได้ศึกษามาแล้วว่า เป็นสภาพธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่จะต้องอดทนที่จะค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏสั้นมาก แล้วดับไป
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการเลือก จึงไม่มีการคอย ไม่มีการหวัง และความอดทนอันนี้จะเห็นว่า ต้องอดทนนานแสนนานกว่าจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏนิดเดียว แล้วดับ ยังไม่มีใครไปทันเปลี่ยนแปลงว่า จะทำอย่างนั้น จะกำหนดอย่างโน้น จะให้เป็นอย่างนี้อย่างนั้น สภาพธรรมนั้นดับแล้ว
เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้สภาพธรรมมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นสังขตธรรม สิ่งที่เกิด ดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ขณะที่มีการระลึกลักษณะของสภาพธรรม ความอดทนจะมากกว่าความอดทนอื่นสักแค่ไหน ที่จะอดทนรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เพียงเกิดแล้วก็ดับเร็วมาก แต่ก็เป็นความจริง
เพราะฉะนั้น ต้องอดทนเพิ่มขึ้นอีก คือ อดทนทางกาย ทางวาจาก็ยังไม่พอ ต้องทางใจที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วย แล้วจะเห็นประโยชน์ของความอดทนจริงๆ