ปัญญาประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม


    สภาพธรรมที่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นก็มี ๓ คือ จิต เจตสิก รูป อันนี้ฟังเหมือนชื่อ แต่ความจริงลักษณะของจิตก็คือจิต ลักษณะของเจตสิกแต่ละชนิดก็เป็นเจตสิกแต่ละชนิด ลักษณะของรูปก็เป็นรูป ซึ่งเราเรียนเพื่อที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วถูกต้องคือถูกต้องในสภาพที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ปรากฏแล้วจะรู้ความจริงได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น มีสภาพธรรมปรากฏตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้จนกว่าจะตาย แต่ว่ารู้ความจริงที่เป็นจิต เป็นเจตสิก รูป ที่ไม่ใช่เราหรือเปล่า หรือเพียงฟังเรื่องราวของ จิต เจตสิก รูป

    ประทีป สภาพรู้และธาตุรู้ ทั้งจิตและเจตสิก ต่างก็เป็นสภาพรู้ แต่เขามีลักษณะที่แตกต่างกัน อาจารย์พยายามอธิบายตรงนี้ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็แสดงว่าจิต ไม่ใช่เจตสิกแต่ละอย่าง โลภะที่ต้องการได้ผลมากๆ เร็วๆเวลานี้ก็รู้สึกว่าห่างไกล พระธรรมทั้งหมดที่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องละ ต้องลืมไม่ได้เลย ถ้าใครคิดว่าจะต้องการหรือจะได้ นั่นคือความเป็นเรา ความเป็นตัวตน ซึ่งทำให้ต้องการแล้วไม่มีวันจะถึงอะไรเลย เพราะเหตุว่าโลภะเป็นเครื่องเนิ่นช้า และก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ใครก็ตามถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า มีอกุศลมากเท่าไรแล้วการที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็คือในขณะนี้ จะเป็นโพชฌงค์หรือจะเป็นสติปัฏฐาน จะเป็นอิทธิบาท จะเป็นอินทรีย์ หรือจะเป็นอะไรทั้งหมดน ซึ่งเป็นโพธิปักขิยธรรม ที่อบรมแล้วเจริญแล้ว สภาพธรรมเกิดดับตามปกติในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา และข้างหน้าก็จะเหมือนอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามีตัวตนซึ่งไปพยายามทำ แต่ว่าสภาพธรรมเป็นจริงอย่างไร อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจให้ถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพิ่มขึ้น ผู้นั้นจะรู้เลยว่า มีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น แล้วต่อไปถ้าถึงความสมบูรณ์ของปัญญา ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ปัญญาสามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม แล้วต่อไปยังสามารถที่จะรู้ได้ด้วยว่า เริ่มคลาย เริ่มสละความเป็นเราทีละเล็กทีละน้อย น้อยมากตามระดับขั้นของปัญญาที่เพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงกาลซึ่งสามารถที่จะสละความเป็นเราได้ทั้งหมด


    หมายเลข 2997
    26 ส.ค. 2558