ตัดสินยังไงเวลาเดินไปแล้วรูปดับ
ผู้ฟัง พอดีเคยอ่านหนังสือ เขาอ้างจากคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า พอเดินไป รูปที่ยกขาก็ดับไปแล้ว เหลือแต่รูปที่กำลังก้าวไป จะมี ๖ ระยะ อธิบายไว้อย่างนี้ เราจะตัดสินอย่างไรดีครับ
ท่านอาจารย์ ยังไม่ยกขาเลย รูปดับหรือเปล่าคะ
นี่คือความมั่นคง ความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง รูปที่เป็นสภาวะรูปมีลักษณะของตนๆ เอง ที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วสิ่งที่ต้องจำก็คือว่า ระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินในขณะนี้มีจิตเกิดดับคั่นเกินกว่า ๑๗ ขณะ
เพราะฉะนั้น ใครจะประจักษ์การดับของรูป ต้องเป็นปัญญาที่อบรม และสามารถรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม คือเริ่มต้นเป็นลำดับขั้นของปัญญาที่เจริญขึ้น ไม่ใช่ไม่มีความรู้อะไรเลย แล้วไปประจักษ์ว่า ขานี้รูปใด ยกเท้าตรงนั้นรูปดับ หรืออะไรอย่างนี้ แต่ผู้ที่รู้จริงก็ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกทั้งหมด
เพราะฉะนั้น พระไตรปิฎกคือปัญญาของผู้รู้แล้ว แล้วรู้จริงๆ และรู้ทั่ว แต่ผู้เริ่มศึกษา เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ปัญญาจะถึงระดับนั้นไหม และไม่จำเป็นต้องเริ่มยกเท้าเลย ถึงไม่ยกเท้า รูปก็กำลังเกิดดับ แต่ทรงแสดงไว้ว่า ปัญญาของใครจะรู้อย่างนั้น อย่างท่านพระสารีบุตร เจตสิกที่เกิดกับจิต เช่น วิตกเจตสิก ท่านสามารถรู้การเกิด การตั้งอยู่ การดับไป
เพราะฉะนั้น เราเป็นท่านพระสารีบุตรหรือเปล่า หรือเป็นผู้ที่รู้แล้วหรือเปล่า ที่พออ่านตำราก็จะทำเหมือนท่านเหล่านั้น แต่จะทำไม่ได้เลย เป็นเรื่องของปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจถูกในปัญญาของผู้ที่รู้แล้ว ประจักษ์แล้วจนกระทั่งค่อยๆ เป็นปัญญาของเราทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น
บางคนบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มีแล้วข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ต้องไปอบรมอะไรอีก ท่านบอกว่าเป็นนาม เป็นรูป เราก็รู้ตามว่า เป็นนาม เป็นรูป นั่นคือรู้ตามขั้นฟัง แต่ยังคงเป็นปัญญาของผู้ที่รู้แล้ว ไม่ใช่ปัญญาของผู้กำลังเริ่มฟัง และเริ่มค่อยๆ อบรม
นี่ก็ต้องละเอียด และไม่ประมาท เป็นผู้ที่ตรงว่า นั่นเป็นสิ่งที่จริง แต่ปัญญาอบรมอย่างไรถึงสามารถประจักษ์อย่างนั้นได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงตั้งแต่ขั้นต้น
แล้วหมดความสงสัยเรื่องยกเท้าแล้วรูปใดหรือเปล่าคะ ไม่ยก รูปดับหรือเปล่าคะ ดับ ดูเหมือนว่าท่านรู้อะไรกัน เราก็จะทำให้รู้อย่างท่าน แต่เป็นเรื่องทำ ซึ่งไม่มีทางจะรู้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอบรม และเห็นความต่างของปัญญาของผู้รู้แล้วกับผู้เริ่มเข้าใจถูก ผู้นั้นก็เป็นผู้ตรง และถ้าเป็นปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ก็ไม่ผิดกันเลย แต่ต้องเป็นปัญญาของเราเอง ไม่ใช่ไปรู้ตามที่ท่านแสดงไว้ ไม่ใช่ไปเอาปัญญาของท่านมารู้ หรือจะเอาปัญญาของท่านมาละกิเลสของเราก็ไม่ได้ เป็นปัญญาความรู้ของเราเมื่อไร ก็ค่อยๆ คลายความไม่รู้ที่สะสมมาทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ