การเดินจงกรมเป็นการปฏิบัติธรรมไหม


    ผู้ฟัง ตามความเห็นของอาจารย์ การเดินจงกรมเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรมหรือไม่ การเดินเป็นปกติเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรมหรือไม่ คิดว่าหลายๆ ท่านในที่นี้เคยปฏิบัติธรรมมา และมีขั้นตอนหนึ่งคือเดินจงกรมแบบช้าๆ แต่เมื่อฟังท่านพูดที่นี่ อยากทราบว่า การเดินจงกรมยังเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่ แต่ไม่ใช่เดินแบบช้าๆ ยังต้องทำอยู่ไหม ถ้าเรายังปฏิบัติธรรม

    ท่านอาจารย์ ทำไมล่ะคะ เราก็เดินกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ หรือเราไม่เคยเดิน แล้วเราต้องมาเดิน ข้อสำคัญที่สุด จากการฟังธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด และไม่ลืมว่า ธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เห็นขณะนี้เกิดแล้ว ได้ยินขณะนี้เกิดแล้ว คิดนึกขณะนี้เกิดแล้ว แม้แต่ปฏิสนธิจิตขณะแรกก็เกิดแล้ว และหลังจากปฏิสนธิติคขณะแรกก็ไม่มีใครไปสร้างไปทำ แต่ก็มีปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ทุกอย่างให้ทราบว่า ไม่มีเราทำ หรือไม่มีใครทำ แต่เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ เดี๋ยวนี้พิสูจน์ธรรมได้เลย ทางตาที่เห็นมีแล้ว ต้องไปทำอะไรอีกหรือเปล่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดรูป แม้แต่สภาพที่อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เราจะเรียกว่า จักขุปสาท โสตปสาท กายปสาท หรือจะเรียกอะไรก็ตาม ไม่ใช่ตัวเราที่ทำ มีพร้อมกับปฏิสนธิจิต กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม เป็นจิตชาติวิบากเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก และกัมมชรูป

    เพราะฉะนั้น เราเลือกรูปตอนเราเกิดได้ไหมคะ ขณะที่เกิดมีรูปเกิดร่วมด้วยแล้ว ขณะที่ปฏิสนธิเกิด มีรูป ๓ กลุ่ม ๓ กลาป เกิดเพราะกรรม ไม่ใช่เราไปทำให้เกิด แล้วธาตุไฟที่มีอยู่ในรู ๓ กลุ่มนั้นก็ต่างกันตามกรรม เพราะรูปนี้เกิดขึ้นเพราะกรรม

    เพราะฉะนั้น รูปอื่นๆ ที่ทยอยเกิดสืบต่อตามมา ก็ทำให้รูปร่างสัณฐานของสัตว์ที่มีกรรมนั้นเป็นไปตามกรรม จะตัวเล็กเท่ามด จะตัวใหญ่เท่าช้าง แต่ตอนเกิดเหมือนกันหมด คือ ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิก และกัมมชรูป แต่กรรมที่ทำให้รูปเกิดสืบๆ ต่อกันมา ก็ทำให้เป็นสัตว์ บุคคลสูงต่ำดำขาวอะไรก็แล้วแต่ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ทั้งกายตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เราก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย นอกจากระลึกรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม ที่ไม่ควรจะยึดถือว่า เป็นของเรา หรือเป็นเรา หรือเที่ยง นี่คือประโยชน์ของการระลึกรู้ลักษณะของรูปที่เคยยึดว่าเป็นของเรา หรือเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดพร้อมสติที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เลือกธรรมไม่ได้อยู่แล้ว มีแล้ว พร้อมแล้วทุกประการ เพียงแต่ว่าเมื่อระลึกก็ค่อยๆ เข้าใจถูกในลักษณะนั้นว่า สภาพนั้นเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพื่อละความเป็นเราหรือของเรา

    ขณะที่นั่งอย่างนี้ ยังไม่ต้องทำอะไร ก็มีรูปเกิดแล้ว และมีจิต เจตสิกเกิดด้วย แล้วเราจะไปทำอะไร นอกจากรู้ตามความเป็นจริงโดยเข้าใจว่า ขณะใดที่สัมมาสติจะมีลักษณะอย่างไร ขณะที่หลงลืมสติจะมีลักษณะที่ต่างจากขณะที่สัมมาสติไม่ได้เกิดอย่างไร

    นี่คือปัญญาโดยตลอด จุดประสงค์ของสติ และปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ ซึ่งไม่มีเราเลยในอริยสัจธรรม ทุกขลักษณะไม่ใช่เรา แต่เป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม สมุทัยสัจก็เป็นโลภะ สภาพที่ติดข้อง ก็ไม่ใช่ของเราอีก แล้วแต่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเมื่อไร นิพพานเป็นของเราหรือเปล่า หรือมรรคคือสติปัฏฐานที่เกิดก็แล้วแต่ว่า ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย ก็ไม่มีปัจจัยที่สติระดับนี้ที่เป็นสติปัฏฐานจะเกิด เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น เพื่อละความไม่รู้ เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพื่อประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีคความรู้เลย เราจะให้สติเกิด ไปทำสติมาเพื่ออะไร ปกตินามธรรม และรูปธรรมทำอยู่แล้ว นามธรรมเกิดก็ทำหน้าที่ของนามธรรม แม้แต่มือเคลื่อนไหวก็ด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต เท้าที่ก้าวไปก็ด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต ไม่มีเราต่างหากที่จะไปทำอะไรได้ แต่สภาพธรรมเกิดแล้วทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้น ถ้าปัญญายังไม่เกิดก็รู้ไม่ได้ แต่ถ้าปัญญาเกิด ปัญญานั่นเองเป็นสภาพที่เห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม


    หมายเลข 3117
    28 ก.ค. 2567