สังขเศรษฐี


    ใน อสัมปทานชาดก เอกนิบาต มีข้อความว่า

    ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคเสวยพระชาติเป็นสังขเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในสมัยนั้น ท่านพระเทวทัตเกิดเป็นปิลิยเศรษฐี ในกรุงพาราณสี มีสมบัติ ๘๐ โกฏิเหมือนกัน เศรษฐีทั้งสองนั้นเป็นสหายทั้งที่ไม่เคยเห็นกันเลย ต่อมาภายหลังมีภัยใหญ่เกิดขึ้นกับปิลิยเศรษฐี ท่านเกิดยากจน ปิลิยเศรษฐีก็ได้พาภรรยาไปหาสังขเศรษฐี ซึ่งสังขเศรษฐีก็ได้ต้อนรับด้วยความยินดี ให้ที่กินที่อยู่ ที่พักอาศัยเป็นที่สบายทุกอย่าง พอล่วงไปได้ ๓ วัน ท่านสังขเศรษฐีก็ได้ถามท่าน ปิลิยเศรษฐีว่า การที่มานี้ด้วยประสงค์อะไร ปิลิยเศรษฐีก็ได้บอกว่า จะมาขอพึ่ง เพราะเหตุว่าทรัพย์สมบัติของตนพินาศหมดแล้ว สังขเศรษฐีก็เต็มใจมอบทรัพย์ให้ ๔๐ โกฏิ พร้อมทั้งสมบัติอื่นๆ และผู้คนบริวารเป็นอันมาก ปิลิยเศรษฐีก็ได้กลับไปอยู่ที่กรุงพาราณสี และก็ได้ตั้งตัวได้ เป็นมหาเศรษฐีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

    ต่อมาอีกนาน ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้สังขเศรษฐีนี้ยากจนลง ท่านก็คิดว่า ปิลิยเศรษฐีคงจะช่วยเหลือท่านบ้าง คงจะไม่ทิ้งท่าน เพราะเหตุว่าท่านได้เคยอุปการะปิลิยเศรษฐีไว้มาก ท่านก็ได้พาภรรยาไปที่กรุงพาราณสี แต่ว่าได้ให้ภรรยาพักรออยู่ที่ศาลานอกกรุงก่อน และท่านก็ได้ไปหาปิลิยเศรษฐี แต่ว่าปิลิยเศรษฐีไม่ต้อนรับปราศรัยท่าน ถามเพียงคำเดียวว่า มาเพื่อประสงค์อะไร ซึ่งสังขเศรษฐีก็ได้ตอบว่า มาเยี่ยม ปิลิยเศรษฐีก็ถามว่า พักที่ไหน สังขเศรษฐีก็ตอบว่า ยังไม่มีที่พัก ปิลิยเศรษฐีก็บอกเลยว่า ไม่มีที่จะให้พัก และได้ให้ผู้คนจัดข้าวสาร ๔ ทะนาน เป็นเสบียงให้ไปหุงต้มกินเอง และก็เชิญไปที่อื่น อย่าได้กลับมาหาอีก

    ซึ่งความจริงในวันนั้น ปิลิยเศรษฐีมีข้าวสาลีขึ้นฉางถึงพันเกวียน ไม่ควรที่จะให้ข้าวสารแก่เพื่อนเพียง ๔ ทะนานเท่านั้น เมื่อบ่าวไพร่คนนั้นได้นำข้าวสาร ๔ ทะนานไปห่อชายผ้าให้สังขเศรษฐี ก็ได้กระซิบบอกสังขเศรษฐีว่า สหายของท่านเป็นคนอกตัญญูเสียแล้ว

    ฝ่ายสังขเศรษฐีจึงคิดว่า เราควรจะรับข้าวสาร ๔ ทะนานนี้หรือไม่ ครั้งคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดต่อไปว่า ถ้าเราไม่รับข้าวสาร ๔ ทะนาน ก็ได้ชื่อว่า เราทำลายความเป็นมิตรก่อนเขา คนโง่เขลาทั้งหลายย่อมเสียความเป็นมิตรกัน เพราะไม่รับของเล็กน้อยที่มิตรให้ คิดแล้วก็รับข้าวสาร ๔ ทะนานไป แล้วได้กลับไปหาภรรยา

    ซึ่งภรรยาก็เสียใจร้องไห้เมื่อได้ทราบเรื่อง แล้วกล่าวว่า รับข้าวสาร ๔ ทะนานนี้มาทำไม ข้าวสาร ๔ ทะนานนี้ จะสมกับเงิน ๔๐ โกฏิของเราแล้วหรือ สังขเศรษฐีก็ได้ปลอบว่า ที่รับข้าวสาร ๔ ทะนานนี้มา ก็เพื่อที่จะรักษาความเป็นมิตรของฝ่ายเราไว้ ด้วยคิดว่า ความเป็นมิตรของคนไม่มีปัญญาย่อมเสียไป เพราะไม่รับของเล็กน้อย

    บ่าวไพร่ของสังขเศรษฐีที่สังขเศรษฐีให้กับปิลิยเศรษฐีไป ได้ทราบข่าว ก็ได้รับสังขเศรษฐีไปพักที่บ้าน ปรนนิบัติรับใช้ด้วยข้าวปลาอาหารที่ประณีต แล้วได้พากันไปร้องทุกข์ต่อพระเจ้าพาราณสี พระเจ้าพาราณสีตรัสให้เศรษฐีทั้งสองไปเฝ้า ทรงซักถาม เมื่อทรงทราบแล้ว ก็ได้ถอดปิลิยเศรษฐีออกจากตำแหน่ง ให้ริบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่สังขเศรษฐี ซึ่งสังขเศรษฐีก็รับเฉพาะเงิน ๔๐ โกฏิ กับบ่าวไพร่ซึ่งเป็นของตนเท่านั้น นอกนั้นก็คืนให้กับปิลิยเศรษฐี แล้วท่านก็ได้กลับไปตั้งตัว เป็นเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์จนสิ้นอายุ

    ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ต้องมีความอดทนเพียงไรสำหรับสังขเศรษฐีที่จะรับข้าวสาร ๔ ทะนานแทนเงิน ๔๐ โกฏิ แต่เป็นกุศลจิตที่คิดอย่างนั้น


    หมายเลข 3128
    15 ต.ค. 2566